วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559

เล่มที่ 15 ตอนที่ 1: ของขวัญจากคนแคระ แปลโดย เนบิลลาสีคราม

เล่มที่ 15 ตอนที่ 1: ของขวัญจากคนแคระ แปลโดย เนบิลลาสีคราม

เล่มที่ 15 ตอนที่ 1: ของขวัญจากคนแคระ แปลโดย เนบิลลาสีคราม

“ฉันคิดว่าถึงเวลาต้องไปจากที่นี่แล้วแหละ”

คนแคระรู้สึกผิดหวังเมื่อวีดบอกว่าจะออกจากคุรุโซ พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันผ่านการทำภารกิจรวมถึงงานประติมากรรมต่างๆ

“นายจะไปจริงๆเหรอ?” เฮอร์แมนถามด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยว่า

“นายอยู่ทำงานประติมากรรมต่อในคุรุโซได้มั้ย” ช่างตีเหล็กมักจะไม่ย้ายไปไหนหลังจากได้ปักหลักอยู่ในคุรุโซ ที่นี่มีวัสดุรวมถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับช่างตีเหล็กครบครันอยู่แล้ว วีดส่ายหัว “ผมเป็นประติมากร มันคงเป็นไปได้ยากที่เราจะไม่ออกเดินทางเพื่อสั่งสมประสบการณ์จากที่ต่างๆ และตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมต้องการทำในคุรุโซนั้นเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลาต้องไปซะที”

เขาเพิ่งได้ทักษะลับของอาชีพประติมากร!

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถหาชิ้นงานไม้แกะสลักที่ปรมาจารย์ซ่อนไว้ซักแห่งได้ แต่เขาก็ได้ล่วงรู้ถึงทักษะลับของการแกะสลักด้วยตัวเอง

วีดใช้ค่าศิลปะไปกว่า 300 เพื่อสร้างเหล่าจิตวิญญาณ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็สามารถฟื้นฟูค่าศิลปะที่ใช้ไปกลับมาได้ทั้งหมด ในที่สุด เขาอยากออกไปจากเมืองนี้ก็เพราะความทรงจำอันน่าสยดสยองในเมืองคุรุโซนั่นแหละ ถึงแม้ว่าบางเรื่องอย่างการค้นพบสวนน้ำของเคนเดล์ฟที่ซ่อนอยู่ในทะเลสาบจะเป็นเรื่องตื่นเต้นก็ตาม เฮอร์แมนพูดอย่างขมขื่น “สุดท้ายแล้วนายปรากฏตัวก็เพื่อจากไป” “ผมขอโทษ” “เราจะจัดงานเลี้ยงส่งของคนแคระให้” “ผมว่ามันไม่จำเป็นหรอกน่า”(t/n:วีดเกรงใจคนอื่นเป็นด้วย!!!) “มันเป็นธรรมเนียมของคุรุโซ”

แม้ว่ามันจะเป็นธรรมเนียม แต่วีดก็รู้สึกไม่สบายใจและพยายามที่จะปฏิเสธ แต่เฮอร์แมนกลับอ่านใจวีดออกและบอกว่า “มันเป็นเหตุการณ์ที่คนแคระที่อาศัยอยู่ในคุรุโซทุกคนจะต้องออกมาดื่มและสนุกไปกับมัน เพราะช่างตีเหล็กใช้เวลาเกือบทั้งหมดของเขาไปกับการขัดเกลาทักษะของเขา พวกนี้น่ะ ไม่ค่อยโผล่หัวออกมาบ่อยๆหรอกนะ ยังไงก็ตาม ช่างตีเหล็กทุกคนก็จะเข้าร่วมงานเลี้ยง และแต่ละคนก็จะมอบของขวัญสำหรับคนแคระที่เดินทางออกจากเมืองคนแคระ" “ดูเหมือนว่านั่นคือความหมายของงานเลี้ยงอำลาละมั้ง” คำพูดนั้นเปลี่ยนใจวีด มันคงจะดีมากถ้าหากเขาออกจากเมืองไปอย่างอิ่มแปล้และอ้อมแขนที่เต็มไปด้วยของขวัญ “งานเลี้ยงอำลาครั้งนี้ของนายอาจจะเป็นงานสุดท้ายแล้วก็ได้”

เฮอร์แมนกล่าวเสริม

“ห๊ะ? ทำไมล่ะ?”
“เพราะว่างานประติมากรรมที่นายเพิ่งซ่อมแซมไป ทำให้ดึงดูดคนแคระเข้ามาที่คุรุโซมากขึ้น นอกจากนี้คงไม่มีคนแคระที่มีความเป็นมิตรกับทั้งสายต่อสู้กับสายงานฝีมือของคนแคระอีกหรอก”

การแข่งขันระหว่างช่างฝีมือต่างๆ หมายความว่าพวกเขาจะยิ่งอิจฉาริษยาต่อใครก็ตามที่มีทักษะสูงกว่าพวกเขา แต่ยังไงก็ตาม ประติมากรไม่ใช่ช่างฝีมือและพวกเขาไม่ได้ถูกนับเป็นคู่แข่ง เพราะทุกคนต้องพึ่งพาเขา นั่นทำให้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้วีดสามารถสร้างความสัมพันธ์กับยอดช่างฝีมือทั้ง 5 ในคุรุโซได้อย่างง่ายดาย รวมทั้งเฮอร์แมนด้วย “เพราะว่ามันอาจจะเป็นงานสุดท้าย ดังนั้นเราจะต้องทำให้มันดีที่สุด ชั้นบอกกับคนแคระที่ชั้นรู้จักเพื่อให้แน่ใจว่าเขาเอาของที่ดีที่สุดมาให้” “ขอบคุณ” “คนแคระที่ออกเดินทางเพื่อผจญภัยจำเป็นต้องใช้ของหลายอย่าง ดังนั้น ใช้โอกาสนี้รับมันมาซะ ฮ่าๆๆๆ” “ฮ่าๆๆๆ แน่นอนอยู่แล้ว” วีดหัวเราะอย่างดีใจ

ไม่เหมือนกับของขวัญวันเกิดที่เขาต้องให้ของขวัญคืนในคราวหลัง และเขาโคตรจะมีความสุขที่จะได้รับของขวัญจากงานเลี้ยงอำลา เขาจะต้องรับมันมาและขอบคุณทุกคนจากใจของเขา วีดคิดว่าพวกคนแคระนี่ช่างเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความโรแมนติกอย่างคาดไม่ถึง ‘ชั้นคิดว่าพวกนี้จะตัวเล็กและเป็นพวกดันทุรังซะอีก แต่พวกเขาก็มีธรรมเนียมที่ไม่เลวเลย’

เมื่อวีดกลับออกไปจากทะเลสาบเพื่อวางแผนสำหรับประติมากรรมชิ้นใหม่ พินถามเฮอร์แมน

“คุณปู่” “หืมมม?” “มีอย่างนึงที่ปู่ลืมบอกเขาเกี่ยวกับงานเลี้ยงอำลานะ” “อะไรล่ะ” “ค่าเครื่องดื่มไง” เฮอร์แมนยิ้มจางๆ “แล้วเขาจะมาร่วมงานนี้มั้ย ถ้าเขารู้เรื่องนั้นน่ะ?” “นั่นมันก็...” “ถ้าเราอยากจะจัดงานเลี้ยงขึ้น มันคงจะดีกว่าถ้าเขาไม่รู้เรื่องนั้น แม้ว่าคนแคระอย่างพวกเราจะกินดื่มอยู่บ่อยๆ แต่พวกเราสามารถกินได้เยอะที่สุดแค่ไหนกันล่ะ?” เฮอร์แมนไม่ได้โกหก เขาแค่ไม่ได้บอกไปอย่างนึง มันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนแคระที่กำลังจะออกจากเมืองที่ต้องเป็นคนรับผิดชอบค่าเครื่องดื่มทั้งหมดในงานเลี้ยงอำลา (t/n: ลาก่อนวีด บัยยยย) ***** “ยินดีด้วยยยยย!!!” “ออกไปเผชิญโลกกว้างและคลี่คลายความฝันของคนแคระให้กระจายไปทั่วทั้งหัวใจนาย เชียร์ส!” “เชียร์ส!” “เอ้าชนนนน” คนแคระทั่วคุรุโซกว่าพันคนมารวมตัวกันที่พลาซ่าซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบและดื่มเบียร์ด้วยกัน “ย่ะ...สุดยอดดด” “นี่แหละเด็ด” บนผืนน้ำของทะเลสาบ มีเป็ดแกะสลักหลายตัวลอยไปตามแนวคลื่นเล็กๆ และใต้น้ำก็มีรูปสลักวาฬที่คอยพ่นละอองน้ำออกมาสร้างสายรุ้งให้กับงานเลี้ยง ฉากนี้เหมือนกับที่สวนน้ำเคนเดล์ฟเลย และพวกเขาได้ดื่มเบียร์ที่อาณาจักรใต้ดิน! คนแคระยุ่งอยู่กับการรินเบียร์จากถัง “ถ้าครายมาถามว่าทัมมายคุรุโซถึงเปนที่ที่ดีที่สุด ก็เพราะนายไม่สามารถไปไหนได้เพราะรสชาติของเบียร์ไง” “ฉานว่าที่ฉานไปจากคุรุโซม่ายด้ายก็เพราะติดจายเบียร์พวกนี้แหละ” แม้อารมณ์พวกเขาจะเลอเทอะไปบ้าง แต่คุรุโซก็มีเบียร์ที่สุดยอดจริงๆ ช่างหมักเบียร์! พวกเขาสามารถอยู่ในคุรุโซได้ ตราบที่ได้รับความเคารพจากคนแคระ เขาโอ้อวดว่าเบียร์ที่เขาหมักในคุรุโซมีรสชาติดีที่สุด คนแคระเริ่มสนุกไปกับการดื่มเบียร์และเริ่มที่จะเมา พวกเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่ชื่นชอบเบียร์เป็นชีวิตจิตใจ นอกจากนี้ทักษะบางอันของพวกเขาสามารถเพิ่มขึ้นหลังจากดื่มเบียร์ได้ด้วย และถ้าเกิดพวกเขาได้พักซักวันหลังจากดื่มเบียร์ไปแล้วละก็ พวกเขาจะฟื้นกลับมาอย่างกระปรี้กระเปร่าในวันถัดมาและทำอะไรๆได้ดีขึ้นด้วย ทุกครั้งที่พวกเขากระแทกแก้วลงกับโต๊ะและเห็นพวกมันถูกเติมเต็ม ก็รู้สึกราวกับได้รับรางวัล “หัตถ์แห่งศิลป์ มานี่หน่อยเด๊ะ!” “นี่ๆ เจ้าต้องดื่มแก้วนี้ด้วย” วีดเดินไปโน่นมานี่และยุ่งไปกับการดื่มกับคนอื่นๆ ตั้งแต่ที่เขาได้เข้าร่วมและกลายมาเป็นตัวเอกของงาน “ภารกิจนั่นช่างเป็นเรื่องมหัศจรรย์” “นายเป็นคนคิดกลยุทธ์การต่อสู้สำหรับเหล่าคนแคระที่ต่อสู้ในถ้ำนั่นใช่มะ” เหล่าทหารและนักรบให้ความสำคัญกับวีด การดื่มกับคนโน้นคนนี้และต้องมาฟังแต่ละคนพูดคำเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมาเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดใจที่สุดของงาน แม้ว่ามันจะยังดำเนินไปเรื่อยๆ แต่วีดก็ยังทนต่อไป ‘ถ้าเพื่อของขวัญฟรีแล้วละก็ ไอ้ความเบื่อหน่ายระดับแค่นี้นี่มัน...ฉันทนได้น่า’ เหล่าคนแคระให้ดาบสั้น กระเป๋าหนัง และก็อะไรบางอย่างที่ดูเหมือนเหยื่อล่อเป็นของขวัญ เหยื่อล่อนี่ไม่ใช่แค่มีกลิ่นหอมมากๆเท่านั้นนะ มันยังส่งผลให้สัตว์อสูรหลับได้อีกด้วย ซึ่งมันช่วยให้สัตว์อสูรไม่ตาย แต่มันก็ยังมีข้อเสียที่สัตว์อสูรบางตัวอาจจะลังเลที่จะกินมัน และยิ่งพวกมันตัวใหญ่มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องใช้เหยื่อขนาดใหญ่มากขึ้นเพื่อทำให้มันเกิดผล แถมบางทีมันอาจจะล่อให้สัตว์อสูรโผล่มาทั้งฝูงอีกด้วย ยังไงก็ตาม ถึงแม้มันจะมีข้อเสียหลายข้อ แต่ข้อดีของมันก็ทำให้ถูกขายในราคาสูง เชฟที่มีทักษะดีก็สามารถทำมันได้ด้วยวัตถุดิบชั้นเลิศ แต่ก็ทำได้ไม่มากอยู่ดี “มันคงดีนะ ถ้าเหยื่อล่อนี่จะใช้ช่วยชีวิตนายได้ ทวีปนี้เต็มไปด้วยอันตรายทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นต้องระวังให้มากเข้าไว้ และพยายามไปในที่ที่มีคนแคระเยอะๆเข้าไว้ล่ะ” “ครับ ผมจะใช้มันอย่างคุ้มค่า” “ย่าห์! เจ้าคนแคระ หัตถ์แห่งศิลป์ไม่ได้กระจอกนะเฟ้ย ไม่จำเป็นต้องบอกอะไรยังงั้นหรอกน่า ปะ หัตถ์แห่งศิลป์ คุรุโซกลายเป็นที่ที่น่าอยู่มากๆ ต้องขอบใจนายจริงๆ ที่ทำให้มีแม้กระทั่งประติมากรรมที่ทำจากน้ำ...”

ท่ามกลางบรรยากาศอันอบอุ่น วีดรับและเก็บของขวัญเอาไว้ แต่คนแคระที่ให้ของขวัญกับเขาเอียงหัวมาหา “แต่ปีกที่นายสร้างตอนแข่งชนะเดธแฮนด์กลับหายไป มันหายไปไหนน่ะ?” “...” “มันเป็นปีกที่มหัศจรรย์มากเลย แต่ตอนนี้กลับหายไปซะงั้น เกิดอะไรขึ้นกับมันงั้นรึ?” พวกคนแคระรู้สึกมหัศจรรย์กับปีกแห่งแสงที่วีดสร้างขึ้นและแอบเก็บเอาไว้ วีดอธิบายเป็นเชิงแก้ตัว (t/n: แถนั่นแหละ) “มันสร้างจากแสง ใช่มั้ย? แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับเทียนไขที่ถูกจุดไว้นานๆล่ะ?” “มันดับ” “ใช่เลย” “อ้อ! เพราะงี้นี่เอง” “ชั้นก็นึกว่าเป็นเพราะอย่างอื่นซะอีก ฮ่าๆๆ” ขณะที่กระดกเบียร์ คนแคระก็ยิ้มอย่างสดใสและโล่งใจ แล้วข้อกังขาก็หมดไปเพราะคนแคระเมา ---ระดับการเมาสูงขึ้น--- ยิ่งวีดกินเบียร์มากแค่ไหน เขาก็ยิ่งเมามากขึ้นเรื่อยๆ “หัตถ์แห่งศิลป์ นายต้องดื่มเบียร์จากแก้วเน้~~~” “มาๆ” ถึงวีดจะเริ่มเดินไม่ไหวแล้ว แต่เขาก็ยังรับแก้วที่ปริ่มไปด้วยเบียร์มาอยู่ดี “กินเข้าปายให้หมดแก้วเลยยยย” การแข่งขันของคนแคระไม่ใช่แค่การจิบอึกเล็กๆ วีดกระดกหมดแก้วในอึกเดียว “ย่าาาาห์!!!” “นายนี่มันแน่จริงๆ มาๆ หากับแกล้มกินกันดีกว่า” วีดเดินไปกินไปรอบๆงาน แล้วก็ไปนั่งดื่มกับเอ็กเปอร์ เขาเป็นหนึ่งในห้าสุดยอดช่างฝีมือ และตอนที่วีดมาถึงคุรุโซครั้งแรก ชื่อของเขาเป็นชื่อแรกที่วีดได้ยินเลย ช่างฝีมือผู้ที่มีเพลงของตัวเอง พวกเขาทั้งห้ามาที่งานเลี้ยงนี้เพื่อวีด “หัตถ์แห่งศิลป์” “ครับนายช่าง” “สักวัน ชั้นจะทำหอกที่สามารถพิชิตมังกรให้ได้ เอึ๊ก” “ผมมั่นใจว่าคุณจะทำได้อย่างแน่นอนครับ” เขาพยายามเข้าใจอารมณ์ของเอ็กเปอร์ผ่านการดื่ม “เอิ๊ก ชั้นเมาละ ยังไงก็เหอะ ชั้นทำหอกนี่มาให้นาย เอามันไปสิ” ---คุณได้รับหอกแห่งเพลิงที่สร้างโดยช่างเอ็กเปอร์--- เขาตรวจสอบหอกและพบว่ามันเป็นหอกที่สุดยอดมาก และมีพลังโจมตีสูงถึง 78 จุด “เพราะว่าหอกนี้มีชื่อของฉาน งั้นนายห้ามเอาไปให้คนอื่นนะเว้ย ฮ่าๆ” “ครับ เรามาดื่มกันอีกสักแก้วเถอะ” “ได้เลย รินมาๆ” วีดดื่มไปอีกสามแก้วกับเอ็กเปอร์และย้ายไปที่อื่น เมื่อวีดได้รับของขวัญจำนวนมากอีกครั้ง งานเลี้ยงก็มาถึงจุดพีคพอดี “ดื่ม ดื่มเข้าปายยย” “ดื่มจนกว่าจะตายกันไปข้างนึง แสดงให้เห็นความเป็นลูกคนแคระ (t/n: ก็เหมือนเป็นลูกผู้ชาย ...แต่นี่เป็นลูกคนแคระ) “หมูป่าย่าง มันอยู่ไหน! เชฟ! เอามาอีกห้าตัวดิ๊” พวกคนแคระส่งเสียงโห่ร้อง เมื่อเฮอร์แมนและพินกินเบียร์กับคนแคระบางคน เขาก็เริ่มเป็นกังวล “ปู่ มันจะไม่เป็นไรใช่มั้ย?” “อืม... ชั้นก็ไม่นึกว่าจะมีคนแคระมาร่วมงานมากขนาดนี้ ให้ตายเถอะ” “ค่าเครื่องดื่มมันจะต้องมหาศาลแน่ๆ” “ตั้งแต่ที่พวกเขาดื่มมากกว่าปกติ ดูเหมือนว่านี่จะเป็นงานเลี้ยงที่ดีที่สุด พวกแคระแคระไม่ค่อยมีอะไรให้ทำมากนักหรอก หรือวีดจะกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่สุดไปแล้ว?” ขณะที่แฮอร์แมนเดาะลิ้นอยู่ คนแคระทุกคนในคุรุโซก็เข้าร่วมงานเลี้ยงแล้ว พวกคนแคระรู้สึกว่านี่อาจจะเป็นงานเลี้ยงครั้งสุดท้าย และมีคนแคระหลายคนที่มีความสัมพันธ์กับวีดเพียงเล็กน้อย เมื่อวีดกลายเป็นประติมากรที่โด่งดัง คนแคระเหล่านั้นก็อยากที่จะทำความรู้จักกับเขาเป็นการส่วนตัวบ้าง แม้ว่าจะเลยเที่ยงคืนมาแล้ว แต่งานเลี้ยงก็ยังไม่มีวี่แววจะเลิก วีดรับแก้วเบียร์มาจากฟาบิโอ หนึ่งในห้าสุดยอดช่างฝีมือ ฟาบิโออายุประมาณสี่สิบกลางๆ เขามีไหล่กว้างและดวงตาคมกริบ แม้ว่านี่จะเป็นการพบกันส่วนตัวครั้งแรกของวีดกับเขา แต่ผ่านการออกอากาศและภาพยนตร์ วีดเห็นหน้าของเขามาหลายครั้งแล้ว ช่างฝีมือคนแคระที่โด่งดังที่สุด ใครจะเชื่อว่าเขารวยและมีทักษะตีเหล็กสูงแค่ไหน “เอานี่ไป” “ครับ ขอบคุณ” วีดใกล้จะเมาอย่างสมบูรณ์แล้ว ---อาการเมาเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ค่าสถานะทุกอย่างลดลง--- เพราะการดื่ม เขาเริ่มเวียนหัว มือไม้สั่น แต่วีดก็พยายามอดกลั้นมันไว้ ‘เราจะยอมแพ้กับเรื่องแค่นี้ไม่ได้’ เมื่อเทียบกับการฝึกจิตจากนักดาบ เขายังทนกับการเมาได้ ด้วยความแข็งแกร่งของเขา วีดแสดงเหมือนว่าไม่เป็นไร แม้ว่ามือจะสั่น แต่แก้วเบียร์ในมือก็ไม่หกแม้แต่หยดเดียว สายตาของฟาบิโอดูลึกลับมากขึ้น “ชั้นได้ยินเรื่องต่างๆจากลูกสาว นายปฏิเสธเกราะที่ชั้นให้ด้วยความปราถนาดีตอนที่ไปทำภารกิจ” “...” “ชั้นคิดว่านายเป็นเด็กขี้เกรงใจ ชั้นคิดว่านายจะล้มเหลวเพราะว่ามันเป็นภารกิจที่เต็มไปด้วยอันตราย แต่นายกลับทำมันสำเร็จ และตอนนี้เรื่องของนายก็ดังไปทั่วคุรุโซ” “ผมภูมิใจ” “ตราบใดก็ตามที่นายมีความสามารถ นายก็หยิ่งได้ ชั้นเห็นนายแกะสลักแม้กระทั่งชุดเกราะที่ชั้นได้มาเป็นอย่างดี เมื่อฟาบิโอกระดกแก้ว วีดก็กระดกตาม เบียร์หมดไปสองแก้ว และมันก็ถูกเติมจนเต็ม “ดูเหมือนว่านายจะไม่ใช่คนแคระธรรมดา” เมื่อฟาบิโอเอ่ยคำนี้ วีดเหลือบตามอง สายตาของเขาประสานกันอย่างไม่ยอมแพ้ นัยน์ตาขาวของวีดเต็มไปด้วยเส้นเลือดเพราะอาการเมา แต่มันก็ดูลึกลับและแข็งแกร่ง “ชั้นเห็นนายกินเบียร์และเดินไปมาเมื่อกี้นี้ ถ้านายเป็นคนแคระธรรมดา มันคงเป็นเรื่องยากที่ยังไม่เป็นอะไรแม้ว่าจะดื่มไปเยอะขนาดนี้ ฉันรู้ เพราะฉันเป็นคนแคระ” “ผมมีความสามารถในการดื่มน่ะ” “ก็คงงั้น ยังไงก็ตาม แต่เท่าที่ชั้นเห็น นายไม่ใช่แค่ประติมากรธรรมดา” สายตาของฟาบิโอแข็งกร้าวขึ้น สายตาเขาไม่ได้สอบสวนวีด ในฐานะที่มีความอาวุโส พวกเขาสามารถเข้าใจเรื่องราวต่างๆได้ง่าย จากการพบกันเพียงครั้งแรก ก็พอแล้วที่จะทำให้เขาสามารถคาดเดาว่าคุณเป็นคนอย่างไร มีนิสัยยังไง นิสัยของฟาบิโอเป็นเหมือนเหล็กที่หยาบและหนา มันแข็งแกร่ง และไม่สามารถทำลายได้ง่ายๆ คนทั่วไปอาจถูกฟาบิโอข่มขู่จากการคุยกันอย่างง่ายๆ แต่วีดกลับไม่มีแม้แต่อาการกลัว วีดรับมือได้อย่างเข้มแข็ง เขาเดินไปในเส้นทางของนักดาบ เขาถูกสอนให้รู้ว่าดาบเป็นอีกส่วนที่ต่อออกมาจากร่างกายและอุทิศตัวเองให้กับมัน แม้กระทั่งออร่าความแข็งแกร่งของฟาบิโอก็ดูเหมือนจะหม่นแสงลงเมื่ออยู่ต่อหน้าวีด เหมือนกับจุดคบไฟท่ามกลางพายุ ฟาบิโอรู้สึกอย่างนั้น ‘เขาเป็นคนที่มีบุคลิกแข็งแกร่งกว่าฉัน แม้ว่าชั้นจะไม่รู้ว่าเขาทำงานอะไร แต่เด็กคนนี้กลับมีความกลัวน้อยกว่าชั้น’ ฟาบิโอโยนเรื่องการตัดสินประติมากรออกจากหัว และรู้ว่าวีดเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ทำให้เขาประหลาดใจได้ตั้งแต่เขาเล่นรอยัลโรดมา “บอกมาสิว่านายอยากได้อะไรเป็นของขวัญ” เขาตัดสินใจให้วีดเลือกว่าอยากได้อะไร ชุดเกราะส่วนใหญ่ของเขาถูกแกะสลักโดยวีด ตั้งแต่ที่ฟาบิโอรู้เรื่องเข้า เขาก็บอกวีดว่าเลือกอะไรที่อยากได้ไปเลย ‘ด้วยวิธีนี้ ชั้นจะรู้ได้ว่าค่าสถานะของเขาเป็นแบบไหน’ แม้ว่าฟาบิโอจะเป็นคนสร้างเกราะ แต่เขาเชื่อว่าคนต่างหากที่สำคัญที่สุด ดวงตาของวีดเบิกกว้างขึ้น “งั้นผมขอเกราะไหล่ของ Iron Wheel” “เกราะไหล่ของ Iron Wheel? ในชุดเสื้อเกราะที่ดีที่สุดที่ชั้นสร้าง มัน... ไม่มีอันไหนที่นายจะใช้มันได้เลยเพราะข้อจำกัดด้ายเลเวลและอาชีพ” แต่ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ ก็เหมือนว่าเขาจะเจอคำตอบบางอย่าง “ไม่สิ ดูเหมือนว่านายจะใช้มันได้” “ใช่เลย” “ก็ได้ งั้นชั้นจะให้นาย” ฟาบิโอเปลี่ยนทัศนคติของเขาต่อวีด เขาสังเกตว่าวีดมีสกิลช่างตีเหล็กที่สูงมาก ‘ตั้งแต่ที่เขากล้าถามชั้น เด็กคนนี้น่าจะเป็นคนที่มีความกล้ามากๆ ไม่มีความละอายใจเลย ชั้นไม่น่าบอกให้มันเลือกอะไรก็ได้เลย’ ในขณะที่เขาบ่น เขาสบถสาบานอย่างเงียบๆในใจ นั่นเพราะในเซ็ตเกราะที่เขาเคยสร้างมา เกราะไหล่ของ Iron Wheel เป็นสิ่งที่สุดยอดที่สุดที่เขาเคยสร้างมา ***** เมื่อวีดเก็บของขวัญเสร็จ เขาก็เดินมาเจอเฮอร์แมนพอดี ร่างกายของเขาเริ่มเซและดูเหมือนจะประคองตัวเองไม่ได้ “นายเมาแล้ว” “ผมยัง” “นายดื่มกับชั้นอีกได้มั้ย” “เมื่อไหร่ก็ได้” วีดดื่มอย่างตะกละ จากนั้นเฮอร์แมนก็เอาต่างหูออกมา “ต่างหูมาร์ยอง มันเป็นไอเทมที่ช่วยเพิ่มมานาได้” มันเป็นอุปกรณ์ที่พิเศษ เพราะว่ามันสามารถช่วยเพิ่มมานาได้ ทำให้มันไม่ได้มีค่าแค่เฉพาะพวกนักเวทย์เท่านั้น แต่กับทุกอาชีพ และมันมีค่าอย่างน้อยก็สามหมื่นเหรียญทอง “ขอบคุณ" “ไม่สำคัญหรอกน่า มีบางอย่างที่ชั้นอยากถามน่ะ” หัวของวีดตกลงก่อนจะผงกขึ้นมาทันที่อย่างรวดเร็ว “อะ... อะไรครับ” ไม่ใช่เรื่องปกตินักที่จะได้เห็นวีดในสภาพนี้ วีดพยายามควบคุมตัวเองให้ได้ โดยสามารถสังเกตได้จากดวงตาของเขา รอยยิ้มผุดขึ้นมาที่ริมปากของเฮอร์แมน “ชั้นไม่ได้จะพูดเรื่องสำคัญนักหรอก แต่นายคิดยังไงเกี่ยวกับภารกิจของประติมากร?” “ภารกิจ” “ชั้นมีภารกิจบางอย่างที่เกี่ยวกับช่างตีเหล็ก เพราะงั้น ชั้นถึงมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างดาบที่พิเศษ แต่มันก็ไม่ง่ายเลย บางทีนายอาจจะมีภารกิจของประติมากรก็ได้นะ ...เฮ้!” แต่ในขณะที่เฮอร์แมนพูด หัวของวีดก็ตกลงเรื่อยๆ ทีละนิ้วละนิ้ว จนกระทั่งพับไปข้างหน้าอย่างสมบูรณ์ “เงยหน้าขึ้นมา!” “งืมมม” วีดหลับสนิทไปแล้ว เฮอร์แมนมองไปรอบๆและพบกับพวกคนแคระบางคนที่ดื่มเบียร์อย่างโซเซ คนแคระหลายคนที่เมาก็นอนแผ่ กางแขนขาสั้นๆ ของพวกเขาอยู่ตามพื้น ‘ให้ตายเถอะ ดูเหมือนว่าเขาไม่ไหวแล้วหลังจากที่ดื่มคนละแก้วสองแก้วจากพวกคนแคระทั้งหมด’ เฮอร์แมนส่ายหัวไปมา “พิน ช่วยอะไรชั้นอย่างนึงสิ คว้าแขนเขาขึ้นมา” “ค่ะ” “เอาล่ะ แบกเขาไป” แล้วทั้งสองคนก็ช่วยกันหิ้ววีดไปที่มุมห้อง งานเลี้ยงอำลาดูเหมือนจะยังดำเนินต่อไปตลอดทั้งคืน และยังเหลือคนแคระไม่น้อยที่ยังถือแก้วอยู่เข้ามาลากเฮอร์แมนเข้าสู่การสนทนา และนอกจากนั้น เมื่อเขาลองมองไปรอบๆ ก็ดูเหมือนว่าอะไรบางอย่างจะหายไป วีดที่ผล็อยหลับไปเมื่อกี้เพราะเมา เขาหายตัวไปราวกับมีเวทมนตร์! “โอ้ เขาหายไปไหนแล้วเนี่ย” เฮอร์แมนรีบหาวีดทันที “มีคนแคระคนไหนเห็นหัตถ์แห่งศิลป์มั้ย?” คนแคระคนหนึ่งชี้ไปที่ทางออกทางหนึ่งที่อยู่เลยขึ้นไปเหนือพื้นดินด้วยนิ้วของเขา “เขาไปทางนั้นเมื่อกี้นี้” “เห้ย!!!” เฮอร์แมนแทบจะบินออกไปเลยทีเดียว จากนั้นเขาก็กระซิบไปหาวีด -เฮ้! -… -เฮ้! หลังจากเรียกไปสองสามครั้ง วีดก็ตอบกลับมา -ครับ คุณเฮอร์แมน -หืมมม นายสร่างเมาแล้ว? -อ่า ก็ยังไม่เท่าไหร่ ผมปวดหัวจะตายอยู่แล้วเนี่ย -เป็นเรื่องปกติหลังจากดื่มไปเยอะๆนั่นแหละ แล้วนายจะกลับมาเมื่อไหร่ล่ะ? -ผมออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอก

ขณะที่วีดตอบกลับไป เขากำลังรีบวิ่งผ่านเหมืองถ่านหินเพื่อทำการหลบหนี เขามองเห็นทะลุปรุโปร่งว่าคนแคระไม่เคยจะจ่ายค่าดื่มเบียร์ของพวกเขา ‘จากนั้นชั้นอาจจะต้องเป็นคนจ่ายเงินพวกนี้’ เขาไม่เคยปล่อยปละความระมัดระวังลงแม้ว่าเขาจะดื่ม การหลบหนีเป็นไปอย่างสวยงาม -ดูที่นี่สิ นายจะทิ้งมันไว้ยังงี้หรอ? -ทำไมล่ะ ผมว่างานเลี้ยงอำลาก็สนุกดีนะ -นั่นมัน... นายต้องจ่ายค่าเครื่องดื่มนะ -คุณพูดว่าอะไรนะ ผมควรจะต้องจ่ายมันด้วยหรอ? วีดส่งข้อความกลับไปเป็นเชิงขบขัน ทำให้เฮอร์แมนสับสน แล้ววีดก็พูดอีกครั้ง -คุณควรจะบอกผมเร็วกว่านั้นนะครับ ถ้าคุณบอกมันก่อน ผมจะจ่ายมันก่อนที่จะออกมา -อะแฮ่ม งั้นนายจะกลับมาจ่ายเมื่อไหร่ล่ะ ค่าใช้จ่ายมัน... ดูหน่อยซิ มันเกิน 3,500 เหรียญทองไปนิดหน่อยเอง สำหรับพวกเขาแล้ว การดื่มเบียร์ไปเกิน 3,000 เหรียญทอง เป็นอะไรที่ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ ถ้าไม่ใช่เพราะความสมารถในการดื่มอย่างบ้าคลั่งของคนแคระ -ผมออกมาถึงถนนแล้ว แล้วผมจะกลับไปยังไงล่ะ? -งั้นก็... -เอาเป็นยังงี้ดีมั้ย คุณช่วยจ่ายให้ผมก่อนได้หรือเปล่า แล้วผมจะจ่ายมันคืนให้ทีหลัง -ยะ...ยังงั้นก็ได้ -ครับ -ดูเหมือนว่าเราคงจะต้องทำตามนั้น โอเค งั้นนายค่อยเอาเงินมาจ่ายชั้นคราวหลังละกัน -ไม่ต้องห่วงเลย คุณก็รู้ผมคือใคร ฮ่าๆๆๆ (t/n: โชคดีนะเฮอร์แมน) -ฮ่าๆๆๆ ***** วีดเดินทางออกจากคุรุโซและมาถึงหมู่บ้านหัตถ์เหล็กกล้าเพื่อส่งภารกิจ สำหรับประติมากร เมื่อเขาออกจากอาณาจักร เขาจะต้องสร้างรูปปั้นหนึ่งชิ้น ดังนั้นเขาจึงหยิบรูปแกะสลักนกแก้วที่เขาเคยทำไว้ออกมา เมื่อเทียบกับชื่อเสียงของวีดผู้โด่งดังแล้ว นี่มันกระจอกมากๆ แม้ว่าประติมากรรมจะคงอยู่ในคุรุโซตามที่วีดได้สร้างมันเอาไว้ แต่เขาไม่ได้สนใจอะไรพวกนั้นเลย ถึงจะเป็นเรื่องเกียรติยศหรือชื่อเสียงอะไรก็แล้วแต่ “นายได้ยินมั้ย? วิหารแห่งการคืนชีพยึดดินแดนฟีนอมป์แล้วล่ะ” “ห๊ะ นั่นมันหายนะชัดๆ” “ใครจะหยุดพวกนั้นได้ล่ะ? ถ้าเป็นยังงี้ต่อไป ทวีปเวอร์เซลอาจจะถูกพวกมันครอบครองก็ได้นะ” วีดได้ยินบทสนทนาของคนแคระในหมู่บ้านหัตถ์เหล็กกล้าถึง กองทัพอันทรงพลังของวิหารแห่งการคืนชีพที่เดย์มอนต์เป็นผู้นำการรุกรานมาสู่ทวีปเวอร์เซล ก่อนหน้านี้พวกเขากลัวการถูกฝูงมอนสเตอร์บุกถล่ม ไม่ก็น้ำท่วม แต่ตอนนี้การรุกรานของเดย์มอนต์เป็นมหันตภัยที่ใหญ่ที่สุดของทวีปเวอร์แซลไปแล้ว คนแคระกระซิบคุยกัน “พวกเขาเล่าว่าอาณาจักรต่างๆเริ่มจะเคลื่อนไหวแล้วแหละ” “พวกเขาเริ่มสร้างแนวป้องกันเพื่อหยุดกองทัพของวิหารแห่งการคืนชีพ “พวกนั้นคงเริ่มหัวเสียเพราะกองทัพนั่นกำลังจะเข้ามาถึงดินแดนของพวกเขาแล้ว” “ไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเลย เพราะว่าพวกเขาตั้งค่าหัวไว้ถึง หกหมื่นเหรียญทอง” นั่นเป็นหัวข้อหลักในการพูดคุยของสมาคมดาร์คเกมเมอร์เหมือนกัน เงินหกหมื่นเหรียญทองเป็นจำนวนมหาศาล มันมากพอที่จะกระตุ้นให้ทุกๆคนเด็ดหัวเดย์มอนต์ให้ได้ แต่ถึงยังไง มันก็เป็นเรื่องยากที่จะเล็ดรอดผ่านความสนใจของพวกวิญญาณปีศาจที่เดย์มอนด์ควบคุมอยู่ และยังมีเรื่องพูดคุยกันอีกว่าค่าหัวของเดย์มอนจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ‘เพื่อที่จะหายรายได้อันมั่นคง ความวุ่นวายเกินไปคงจะไม่ดี’ วีดเข้าไปที่กิลด์ประติมากร ไม่ว่าจะเกิดมหันตภัยอะไรกับทวีปนี้ แต่กิลด์นี้ก็ยังเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน “ใช้วัสดุทิ้งๆขว้างๆอีกแล้วเรอะ! ชั้นต้องบอกอีกกี่ครั้ง กว่านายจะเข้าใจการแกะสลักเนี่ย มันไม่เหมือนอย่างที่นายคิดหรอกนะ” “แกนี่มันเป็นความอัปยศของเหล่าคนแคระจริงๆ เป็นความอับอายอย่างถึงที่สุด!” คนแคระนั่งเรียนการแกะสลักอย่างเศร้าใจเมื่อถูกดุจากอาจารย์ พวกเขาจำหน้าวีดได้เมื่อเขาเปิดประตูแล้วเดินเข้ามาข้างใน “เขาคือคนแคระที่เดินออกไปหลังจากได้ภารกิจเมื่อตอนนั้นนี่” “นายหมายถึงภารกิจที่ให้หาร่องรอยของเคนเดล์ฟน่ะเรอะ” “เขาคือคนแคระที่กล้ายอมรับภารกิจที่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อน” “หุหุ ดูเหมือนว่าในที่สุดเจ้านี่ก็ยอมแพ้กลับมาหลังจากพยายามแล้วพยายามอีกสินะ” พวกคนแคระแอบดีใจ ตอนที่วีดรับภารกิจไป พวกเขาก็เป็นกังวลว่าอาจจะทำสำเร็จ แต่เมื่อเห็นนัยน์ตาของวีดที่เต็มไปด้วยความหม่นหมอง ไร้ซึ่งพลังใดๆ พวกเขาก็บอกได้เลยว่ามันคงล้มเหลว ถึงแม้ว่าการค้นพบประติมากรรมของเคนเดล์ฟจะถ่ายทอดออกอากาศผ่านรอยัลโรดแล้ว ดูจากมุมมองของคนแคระพวกนี้แล้ว พวกนี้ยังคงไม่รู้ว่าโลกภายนอกนั้นมีอะไรเกิดขึ้น วีดเดินตรงไปหาผู้ฝึกสอน “ผมมาเพื่อรายงานภารกิจ” ผู้ฝึกสอนประติมากรจอร์บิด ถามอย่างสุภาพ “เจ้าเดินทางมาไม่น้อย แล้วตำนานของประติมากรคนแคระเป็นเรื่องจริงรึเปล่า?” “ถูกต้องเลย มันมีประติมากรรมของเผ่าพันธุ์คนแคระ และประติมากรรมของเขางดงามมาก” “ข้าว่าแล้วเชียว! ข้าว่าแล้วว่ามันต้องเป็นเรื่องจริง เจ้าแสดงร่องรอยของเคนเดล์ฟให้ข้าดูได้มั้ย?” “แน่นอน” วีดคว้าเป้ขึ้นมาในมือแล้วเปิดขึ้น หลังจากคุ้ยอยู่พักนึง เขาก็เจอบางอย่าง แล้วดึงมันออกมาถือด้วยสองมือของเขา “นี่คือประติมากรรมของเคนเดล์ฟ” เมื่อวีดเผยสองมือของเขาออก เจ้านกที่สร้างจากน้ำซึ่งโดนขังไว้ก็บินออกมา มันร้องด้วยเสียงกังวานใสแล้วบินไปบินมารอบๆกิลด์ประติมากร “อ่าห์ นั่นเป็นประติมากรรมที่ท่านบรรพบุรุษสร้างขึ้นมานี่นา” ผู้ฝึกสอนจอร์บิดอดไม่ได้ที่จะดื่มด่ำไปกับความรู้สึกอันลึกล้ำ ประติมากรรมรูปร่างนกกระจอกบินผ่านระหว่างคนแคระ เหล่าคนแคระต่างตกใจอย่างมากยังกับพวกเขาเพิ่งเห็นโลกใหม่ ขากรรไกรของพวกเขาไม่เคยอ้ากว้างขนาดนี้มาก่อนนอกจากเวลากระดกเบียร์ “เขาบอกว่ามันเป็นรูปสลัก! มันเป็นรูปสลักตรงไหนเนี่ย?” “มันไม่ใช่ไอเทมที่สร้างจากภูติผีหรือเวทมนตร์หรอกเรอะ!” “ประติมากรรมจะต้องสร้างจากเส้นสายต่างๆ นี่มันโกงกันชัดๆ” ขณะเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องยากที่จะให้คนแคระยอมรับงานพวกนี้ จากภาพลักษณ์ที่เคยรู้จัก พวกเขาไม่เชื่อว่านกที่สร้างจากน้ำที่กำลังบินไปรอบๆนี่เป็นประติมากรรม วีดส่ายหัว ‘มันคงจะเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะบรรลุทักษะด้านประติมากรรมตลอดชีวิตด้วยความคิดแบบนี้’ ประติมากรรมคือศิลปะสามมิติ ถ้ามันเป็นอะไรที่ประติมากรสร้างขึ้นมาได้และมีตัวตน สัมผัสได้หรือความคิดที่สามารถเข้าใจหรือจับใจความได้ ไม่ว่าอะไรก็สามารถกลายมาเป็นความท้าทายใหม่ๆได้ ‘ชั้นไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงคิดว่ามันจำเป็นต้องแกะสลักแค่บนไม้หรือหินเท่านั้น’ วีดจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยดูถูกงานประติมากรรมมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว เขายังคงแสดงออกอย่างภูมิใจ ผู้ฝึกสอนจับมือของเขา “ขอบใจเจ้ามาก จากนี้ไป จะไม่มีเรื่องเผ่าพันธุ์มาเกี่ยวข้องอีก พวกนั้นไม่มีทางดูถูกพวกเราคนแคระได้อีกแล้วเมื่อมันเป็นเรื่องแกะสลัก” ติ๊ง!!! -คุณผ่านภารกิจของผู้ฝึกสอนประติมากรจอร์บิด ประติมากรรมของเคนเดล์ฟ ประติมากรคนแคระในตำนาน ที่เคยอาศัยอยู่ในคุรุโซ หลังจากค้นพบประติมากรรมของเขา มนุษย์ เอลฟ์ที่เป็นช่างฝีมืออันชาญฉลาดจะไม่วิจารณ์ศิลปินคนแคระอีก -ค่าชื่อเสียงเพิ่ม 130 -การประเมินผลของคุณในกิลด์ประติมากรเพิ่มขึ้น -ในด้านศักดิ์ศรีของเผ่าพันธุ์ ความเคารพต่อคนแคระเพิ่มขึ้น 3 -ความสัมพันธ์กับอาณาจักรธอร์ของคนแคระเพิ่มขึ้น 82 คนแคระจะโยนพลั่วของพวกเขาทิ้งเพื่อช่วยงานคุณ -เลเวลเพิ่มขึ้น -เลเวลเพิ่มขึ้น ผู้ฝึกสอนประติมากรยื่นถุงมือสีดำมาให้ ด้วยความสัตย์จริง วีดคาดหวังว่าจะได้รางวัลมากกว่าพวกเลเวลหรือค่าชื่อเสียงซะอีก ‘นั่นคือเหตุผลว่าทำไมการทำภารกิจของอาณาจักรธอร์ถึงคุ้มค่า’ ถ้าเป็นภารกิจของเหล่าเอลฟ์ ความสัมพันธ์กับพวกเขาหรือเหล่าจิตวิญญาณจะเพิ่มขึ้น และถ้าเป็นของมนุษย์ คุณจะได้เงินรางวัล หรือค่าสถานะ หรือทักษะ แต่สำหรับคนแคระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ของอาณาจักรธอร์ เมื่อทำภารกิจผ่าน พวกเขาจะให้ไอเทมที่ดีต่อคุณ และมันถูกใจวีดอย่างยิ่ง “นี่มันเป็นถุงมือที่ชั้นชอบมาก ถึงแม้มันจะไม่ใช่ของเคนเดล์ฟ แต่คนแคระที่ใช้ถุงมือนี้จะเป็นคนที่โดดเด่นมาก” “ขอบคุณมาก” -คุณรับของรางวัลจากภารกิจ ถุงมือนี้ส่องประกายเป็นสีดำเงางาม “ตรวจสอบสถานะ!” ถุงมือแห่งการรังสรรค์ : ความทนทาน 45/45 ป้องกัน 13 ถุงมือนี้ถูกสร้างและใช้งานโดยช่างตีเหล็กในรัชสมัยอาณาจักรธอร์ที่ 7นามสปินดัล ถึงแม้ว่าช่างตีเหล็กจะสร้างมันขณะที่เขาออกผจญภัย ดังนั้นเขาจึงสร้างให้มันนุ่มสบายที่สุดแม้กระทั่งใช้มันจับออร์ค เขาสร้างมันผ่านความล้มเหลวหลายต่อหลายครั้ง ถึงแม้ว่าพวกมันถูกทำขึ้นเพื่อช่างตีเหล็ก พวกมันสามารถนำไปใช้ได้หลากหลายวิธี ความต้องการ : สกิลงานฝีมือระดับกลางหรือสูงกว่า,เลเวล 150 สถานะเสริม : เมื่อสวมใส่ทักษะช่างตีเหล็ก +1 ทักษะประติมากร +1 ผลของทักษะงานฝีมือ +5% พลังโจมตี +7% เมื่อสวมใส่อาวุธระยะไกล ความเร็วเพิ่มขึ้น เหมือนที่เขาคิดไว้ว่ามันจะเป็นไอเทมชั้นดี แม้ว่าความต้องการเลเวลของมันจะต่ำ แต่มันต้องการทักษะงานฝีมือระดับกลาง ทำให้ไม่ใช่ว่าใครๆก็สามารถใช้มันได้ ผู้ฝึกสอนประติมากรแนะนำเสริม “ข้าเชื่อว่าร่องรอยของเคนเดนเดล์ฟยังเหลืออยู่ที่ไหนสักแห่งในอาณาจักรธอร์ เจ้าจะค้นหามันเพิ่มอีกได้มั้ย?” ติ๊ง! ประติมากรรมที่ซ่อนอยู่ของเคนเดล์ฟ สิ่งประดิษฐ์อันเลิศล้ำของประติมากรคนแคระถูกสงสัยว่าอาจจะถูกหลงลืมอยู่ที่ไหนสักแห่ง ค้นหาประติมากรรมของเคนเดล์ฟที่หายไปในอาณาจักรธอร์และนำมันมาคืน ความยาก : ภารกิจประติมากรของคนแคระ รางวัล : เกียรติยศของคนแคระ ความต้องการของภารกิจ : เฉพาะประติมากรเผ่าคนแคระเท่านั้น มันเป็นภารกิจต่อเนื่อง! แต่วีดกลับส่ายหัว “ข้าต้องหยุดการผจญภัยไว้เพียงเท่านี้ พวกมนุษย์และเอล์ฟได้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของเหล่าคนแคระแล้ว ข้าต้องการที่จะมอบความไว้วางใจนี้ให้กับคนแคระคนอื่นๆทำภารกิจนี้แทนข้า” มันยังมีเรื่องที่วีดต้องการจะทำอยู่ และเขาต้องการหยุดการค้นหาประติมากรรมไว้เพียงเท่านี้ ผู้ฝึกสอนประติมากรพยักหน้าอย่างไม่พอใจ “เอาเถอะ ต่อให้ไม่ใช่เจ้า คนแคระธรรมดาก็คงพอจะทำงานนี้ได้” -คุณปฎิเสธภารกิจ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับผู้ฝึกสอนประติมากรจอร์บิดลดลงเล็กน้อย ถึงแม้ความสัมพันธ์จะลดลงเล็กน้อย แต่อาจารย์ก็คงชอบวีดเหมือนเดิม “มันเป็นเกียรติสำหรับข้าที่จะได้เห็นผลงานอันยอดเยี่ยมนี้เช่นเดียวกับเจ้า แล้วจากนี้เจ้าจะทำอะไร?” “แม้ว่าตอนนี้ข้าจะยังไม่รู้ แต่ข้าคงจะเดินทางไปที่อาณาจักรเดลเพื่อพบกับเพื่อนๆของข้า” “ขอให้เหล่าประติมากรรมอวยพรให้เจ้า กลับมาที่นี่บ้างและสร้างประติมากรรมให้กับหมู่บ้านหัตถ์เหล็กกล้า” “มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าได้พบเห็นในที่ที่ข้าเดินผ่านมา ถ้ามีโอกาสได้กลับมาที่นี่ แน่นอนว่าจะสร้างมันให้พวกคุณ”

จบตอน

ผู้แปล: เนบิลลาสีคราม

Editor: แอดมิน เราอ่านนิยายแปล

ที่มา: http://japtem.com/lms-volume-15-chapter-1/

ไฟล์ PDF: https://drive.google.com/drive/u/0/folders/0B7slWHQIQ6wCM1hicDY3dUw2cXM

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559

เล่มที่ 14 ตอนที่ 11: การรอคอยของดาอิน

เล่มที่ 14 ตอนที่ 11: การรอคอยของดาอิน

ผู้อำนวยการ คิม ฮาน โซ กำลังมองดู ยู บิง จุนผู้เป็นอาจารย์ของเค้า, นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะขนานแท้เปรียบได้ราวกับบุคคลที่สวรรค์ส่งมา
เส้นสีขาวบางๆพาดอยู่ตรงกลางหัวของเขา, ดวงตาแดงก่ำ, และ แว่นตาหนาเตอะ
ถึงนั่นจะดูเหมือนว่า ยู บิง จุน กำลังเครียดอยู่ตลอดเวลา, แต่สมองของเขาอยู่ในระดับที่สามารถเรียกเขาได้ว่าอัจฉริยะ
 ‘แม้ว่าโลกจะรู้จักรอยัล โร้ดที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยฉันและนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆอีก 17 คน…’
ผู้อำนวยการ คิม ฮาน โซ ส่ายหัวไปมาเบาๆ
มันมีความแตกต่างมากเมื่อพูดถึงความจริงที่สาธารณชนได้รับรู้
 ‘ความจริงแล้ว แนวคิดพวกนี้มาจากอาจารย์ทั้งหมด, และเขายังเป็นคนที่พัฒนาแกนกลางของเทคโนโลยีอีกด้วย ส่วนนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆและเราไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่านั้นเลย นอกจากแค่รันข้อมูลที่อาจารย์เป็นคนทำขึ้นมา
สำหรับผู้อำนวยการ คิม ฮาน โซและนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆแล้ว มันถือเป็นงานที่พวกเขายังต้องกลัว เพียงแค่ต้องรับผิดชอบในส่วนของตัวเองเท่านั้น
มีอยู่หลายครั้งที่ระบบเสมือนจริงที่สุดแสนจะเพอร์เฟ็คและไม่มีทางเป็นไปได้ อีกทั้งด้วยชื่อเสียงอันโด่งดัง ถูกมองว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน มีอยู่หลายครั้งที่เขาต้องลุกขึ้นมาจากเตียงในตอนเช้า หลังจากฝันร้ายถึงเรื่องราวที่ล้มเหลว
ทุกๆครั้งที่พวกเขาต้องหยุดเมื่อพบทางตัน ยู บิง จุน จะก้าวเข้ามาเพื่อช่วยเหลือพวกเขา และคนที่เข้าใจระบบทั้งหมดก็ยังเป็นเขาอีกด้วย
ถึงแม้ว่านักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆรวมทั้งผู้อำนวยการ คิม ฮาน โซ สามารถจัดการเวอร์เซลล์ได้ด้วยเจตจำนงต่อหน้าที่ของพวกเขา, แต่พลังของพวกเขาก็ยังมีขีดจำกัด
ก้าวเท้าเดินอย่างระมัดระวัง ผู้อำนวยการ คิม ฮาน โซหยุดอยู่ตรงหน้าของ ยู บิง จุน

 “ผมกลับมาแล้วครับ
 “ดี ทำได้ดีมาก แล้วพวกเด็กๆที่ออฟฟิซนั่น พูดกันว่ายังไงบ้างล่ะ?”
 “ครับ พวกเขากังวลมากเลยครับ โดยเฉพาะเรื่องของกองทัพคืนชีพ
 “เคะเคะ ฉันเดาว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
 “แล้วก็ หัวหน้าแผนกการจัดการกลยุทธ์ ซุน อิล คัง บ่นใหญ่เลย เรื่องที่เขาต้องทำโอทีอยู่ทุกวัน(OT=Overtime)
 “เค๊ะเค่ะเคะ
ยู บิง จุน หัวเราะออกมาเหมือนกับว่าเขาได้คาดการณ์มันเอาไว้หมดแล้ว
 “ผู้เล่นชื่อเดย์มอนด์ คุณคิดว่าเขาเป็นยังไงเหรอครับ, อาจารย์?”
 “ไหนดูซิ อืม ก็ไม่เลวนะ
ยู บิง จุน ตอบสนองอย่างไม่ค่อยพอใจสักเท่าไหร่
 “เควสกองทัพคืนชีพก็นะ พลังอันน่าเหลือเชื่อเกินกว่าจะจินตนาการได้จากภารกิจนั่น
พวกนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ที่ดูแลแผงควบคุมหลักในแผนกการจัดการระบบ ต่างพากันเงี่ยหูของพวกเขามาฟังบทสนทนาที่เฉพาะเจาะจงแบบนี้
ยู บิง จุน เป็นนักวิทยาศาสตร์ ผู้ที่มีมันสมองอันปราดเปรื่องเหนือผู้อื่น และ เขาได้ปิดกั้นตัวเอง ปราศจากซึ่งการเปิดเผยตัวตนให้โลกได้รับรู้
มีเพียงแค่โลกภายนอกเท่านั้นที่ไม่รู้, แต่ในความเป็นจริงแล้ว, ยู บิง จุน สวมบทบาทเป็นผู้นำที่คอยชักจูงทุกคน
แต่ความจริงที่ทำให้พวกนักวิทยาศาตร์ถึงกับตกใจและขนลุก คือพลังอำนาจของเทพเจ้าเวอร์เซลล์ ปราศจากและไร้ซึ่งข้อบกพร่องใดๆทั้งมวล พวกเขาไม่ต้องการแม้แต่ที่จะแทรกแซงหรือยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่มันทำ
มันคือสุดยอด AI ที่ดูแลโลกของรอยัล โร้ด ได้อย่างสมบูรณ์แบบนับตั้งแต่ที่มีการเปิดตัว ระบบอันน่าสะพรึงกลัว ที่สามารถเรียกได้ว่า เทพเจ้าที่แท้จริง (AI=ปัญญาประดิษฐ์ ย่อมาจาก Artificial Intelligence)
และไม่ใช่เพียงแค่รอยัล โร้ดเท่านั้น; มันยังสามารถควบคุมการบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับบริษัทยูนิคอร์นได้อีกด้วย ถึงแม้จะเพิ่มการทำงานเข้าไปอีกมากมาย เทพเจ้าเวอร์เซลล์ใช้ทรัพยากรและพลังงานต่างๆแค่ 20% เอง
สำหรับพวกนักวิทยาศาสตร์แล้ว มันถือเป็นความสำเร็จที่น่ามหัศจรรย์สุดๆ
ถ้ามีใครบางคนบอกว่าระบบนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์เพียงคนเดียว พวกเขาคงต้องไม่เชื่อมันอย่างแน่นอน สิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ในการคาดการณ์ของพวกนักวิทยาศาสตร์ที่รู้จัก ยู บิง จุน
นักวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีใครสามารถมาแทนที่เขาได้ ต่อให้มีมนุษย์อีกกี่สิบล้านชีวิตก็ตาม
เขาคือนักวิทยาศาสตร์ผู้ที่ทำให้เทคโนโลยีในโลกนี้ก้าวหน้าไปอีก 30 ปีข้างหน้า ทุกอย่างล้วนอยู่ภายใต้การผลิตของเขาที่เคียงคู่ไปกับรอยัล โร้ด
เขาคือบุคคลที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ต่างให้เกียรติและความเคารพเป็นอย่างสูงจนหาที่เปรียบมิได้ ยู บิง จุน คือ จุดสูงสุดความภาคภูมิใจของพวกเขาทุกคน
 “ความโลภคือหายนะของการทำงาน ถึงแม้ง่าพวกเขาจะผ่านพ้นมันไปโดยด้วยวิธีหลอกเด็กในไม่ช้าพวกเขาจะสร้างศัตรูอีกเป็นจำนวนมาก
ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนไหนสงสัยในคำพูดของ ยู บิง จุน
คำพูดของอัจฉริยะแห่งศตวรรษไม่เคยผิดพลาด ถ้าเขาพูดมันออกมาอย่างนั้น มันก็คงจะกลายเป็นอย่างที่เขาพูดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และสำหรับพวกนักวิทยาศาสตร์ที่รู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับการเตรียมการของเควสและอันตรายที่ซ่อนอยู่ ผ่านเทพเจ้าเวอร์เซลล์ พวกเขาต่างไม่รู้สึกว่ากองทัพคืนชีพคือวิกฤติอันเลวร้ายที่แท้จริง
รอยัล โร้ด คือ โลกเสมือนจริงที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ความซับซ้อนของมันถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยเทคโนโลยี มันมีเรื่องราวมากมายนับไม่ถ้วนที่ถูกซ่อนอยู่ภายในทวีปแห่งนี้
เหล่านักวิทยาศาสตร์ต่างรู้เรื่องราวของพวกนักผจญภัยที่กำลังซ่อนตัวอยู่และทำการฝึกฝนเพื่อเพิ่มพละกำลังความแข็งแกร่งของพวกเขา, ระดับเลเวลของพวกนักรบที่มีอยู่, การดำเนินไปของเควสต่างๆที่พวกเขากำลังทำ, และ พวกเขาค้นพบว่ามันไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปเคร่งเครียดให้มันมากนัก
เนื่องด้วยทวีปอันกว้างใหญ่และจำนวนผู้เล่นมากมายมหาศาลที่ซึ่งทั้งหมดถูกเรียกว่าการบูรณาการผสมผสานสังคมเสมือนจริงของมนุษยชาติ รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกนักวิทยาศาสตร์
พวกเขาก็มีส่วนร่วมในการพัฒนาด้วย รอยัล โร้ด คือโลกเสมือนจริงที่สนุกสุดๆ
หลังจากการเปิดตัวรอยัล โร้ด มีรายงานว่าความสุขของมนุษย์เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 40%
ด้วยความภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการเปิดประตูไปสู่โลกแห่งใหม่ พวกนักวิทยาศาสตร์ก็กลับไปประจำตำแหน่งในส่วนที่ตัวเองรับผิดชอบ
ยู บิง จุน บ่นพึมพำกับตัวเอง
 “ผู้คนบนโลกใบนี้ต่างหลงมัวเมาในตัวเองง่ายเกินไป
บนจอที่เขากำลังมองดูอยู่ เขาสามารถเห็นกิจกรรมการผจญภัยต่างๆที่เกิดขึ้นบนทวีปเวอร์เซลล์ได้ทั้งหมด
ผู้เล่นที่กำลังเพิ่มความแข็งแกร่งในขณะที่กำลังออกล่าอยู่ในป่าที่ไม่มีใครพบเจอ
ผู้เล่นที่กำลังเพิ่มความอึดขั้นพื้นฐานด้วยการปีนป่ายภูเขาที่สูงชันในทวีปแห่งนี้
ผู้เล่นที่กำลังเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยการทดสอบขีดจำกัดของตัวเองในเกาะร้างที่เต็มไปด้วยมอนสเตอร์
ยู บิง จุน มีความสุขเมื่อได้มองผู้เล่นเหล่านี้
บททดสอบที่ไม่รู้จบในการก้าวข้ามขีดจำกัดของพวกเขา พวกเขาได้สัมผัสประสบการณ์ที่สุดยอดที่สุดที่ไม่มีที่ไหนบนโลกเคยเกิดขึ้นมาก่อน
 “การที่พูดว่ารอยัล โร้ดคือเกม…”
หลังจากการสร้างและเปิดตัวรอยัล โร้ด สื่อสาธารณะต่างๆพากันคลั่งในเทคโนโลยีนี้
เทคโนโลยีที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สามารถให้ความรู้สึกเสมือนจริงได้มากที่สุด!
การเติบโตของฐานผู้เล่นรอยัล โร้ดที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้นำหายนะมาสู่เกมต่างๆที่กำลังเปิดให้บริการอยู่ในปัจจุบัน
โลกใบใหม่ได้เปิดขึ้นแล้วสำหรับเหล่าผู้เล่นที่กระตือรือร้นอยากที่จะเข้าไปสัมผัสมันเร็วๆ
นี่เองก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้คนทั่วไปที่ไม่เคยสัมผัสหรือเล่นเกมมาก่อน ต่างพากันหลงใหลไปกับมัน และหัวข้อหรือบทความต่างๆที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมบันเทิง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่พากันกล่าวถึงรอยัล โร้ด
เหล่าผู้จัดการและผู้อำนวยการของบริษัทต่างๆในโลกจริง ได้เล็งเห็นถึงความสนุกที่เกิดขึ้นอันเป็นผลพวงมาจากการได้สัมผัสกำแพงปราสาทแบบยุคกลางหรือแม้กระทั่งชุดเซ็ทของนักผจญภัยที่มาพร้อมกับดาบคาดเอวของพวกเขา
เช่นเดียวกับการที่พวกเขาใช้เงินละเลงไปกับการลงทุนอันมหาศาลแบบนี้ พวกเขาก็ได้รับคำชื่นชมต่างๆนาๆราวกับว่าเป็นผู้เล่นที่มีชื่อเสียงอันโด่งดังของอุตสาหกรรมเกมยุคใหม่
ยู บิง จุน ยิ้มแหยะๆทุกครั้งที่เขาได้เห็นบทความพวกนี้
 “มนุษย์ที่แสนบอบบางและขี้เกียจ พวกเขาไม่รู้แม้กระทั่งอนาคตของตัวเองได้ถูกแขวนเอาไว้อยู่ตรงนี้แล้ว
มันเป็นอะไรบางอย่างที่น่าสมเพชเกินกว่าที่ยู บิง จุนจะทนได้
เขาอุทิศชีวิตของเขาเพื่อรอยัล โร้ด มันเป็นผลงานศิลปะที่เปรียบได้ดั่งอนุสาวรีย์ที่เขาทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ เสียสละได้แม้กระทั่งชีวิตของตัวเอง เพื่อสร้างมันขึ้นมา มันเปรียบเสมือนลูกแท้ๆของเขา
ถ้ามันเป็นเพียงแค่การสร้างเกมขึ้นมา เขาคงล้มเลิกความตั้งใจนี้ไปนานแล้ว
* * *
หลังจากที่ไล่ล่าพวกโครงกระดูกเรืองแสงเป็นระยะเวลาถึงเจ็ดวัน พวกเขาได้ค้นพบรางวัลอันยิ่งใหญ่ใกล้ๆกับสุสานที่ซึ่งเป็นสถานที่สุดท้าย และพวกเขาสามารถชำระร้างและจัดการกับพวกมันด้วยเวทย์มนต์ศักดิ์สิทธิ์ของเคลริค
สำเร็จแล้ว!”
เยี่ยมมากทุกคน
เคลริคและพลหอกดูมีความสุขมากกว่าใครเพื่อน
คุณดาอินช่วยได้เยอะเลย ขอบคุณนะ
การไล่ล่าโครงกระดูกเรืองแสงนั้นค่อนข้างยากถึงแม้จะเป็นนักล่าที่มีฝีมือก็ตาม นั่นก็เพราะว่าพวกมันสามารถเข้าไปในภูเขาที่มีมอนสเตอร์จำนวนมาก หรือหาดันเจี้ยนเพื่อหลบซ่อน เมื่อพวกเขาหยุดสู้ในขณะที่กำลังไล่ตามโครงกระดูกเรืองแสง มันสามารถหนีไปที่ไหนก็ได้ก่อนที่พวกเขาจะหามันพบ
ถ้าพวกเขาไม่มีเวทย์มนต์ของชาร์แมนที่คอยเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนที่แล้วล่ะก็ การไล่จับพวกโครงกระดูกเรืองแสงจะเป็นอะไรที่ยากลำบากมากขึ้นไปอีก
รอยยิ้มของดาอินก็ปรากฏให้เห็น
 “มันก็ไม่ได้มีอะไรมากนักหรอก ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้ด้วยสักเท่าไหร่
 “ไม่จริงเลย ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นชาร์แมน พลังในการรักษาของคุณและทักษะต่างๆล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้งนั้นถ้าคุณดาอินไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยล่ะก็ มันจะยากมากเลยที่จะทำเควสนี้ให้สำเร็จ
 “พี่สาวดาอินเป็นชาร์แมนที่เก่งที่สุดเลย
ดาอินชนะใจของสมาชิกทุกคนที่อยู่ในปาร์ตี้
 “พี่สาว อยู่ต่อกับพวกเราเถอะนะ
 “คุณจะทำเควสด้วยกันกับพวกเราอีกมั้ย?”
 “แน่นอน ฉันจะทำ
ผ่านไปสองสามเดือน ดาอินสนุกไปกับการผจญภัยร่วมกันกับสมาชิกในปาร์ตี้
ชื่อเสียงของเธอโด่งดังขึ้นทุกวัน เมื่อตอนที่ยังไม่มีผู้เล่นอยู่ในโมราต้ามากนัก ทุกคนต่างไม่รู้จักชาร์แมนดาอิน เธอออกไปผจญภัยในดินแดนแห่งมนต์ดำ
มันคือคณะสำรวจที่มีนักผจญภัยมากกว่ายี่สิบคนในโมราต้าที่เข้าร่วมการสำรวจในครั้งนี้!
หลังจากที่ได้รับประสบการณ์ในการได้พบเจอมอนสเตอร์ใหม่ๆและดันเจี้ยนแห่งใหม่ เธอกลับมาที่โมราต้า
* * *
 “วิ้ว! ในที่สุดฉันก็ได้กลับมาที่โมราต้าซะที
ดาอินยิ้มกว้าง
โมราต้าที่เธอกลับมาหลังจากผ่านไปเป็นระยะเวลาอันยาวนานเธอไม่รู้ว่าเธอคิดถึงมันมากเท่าไหร่
มันอาจจะเป็นเพราะว่าความอิ่มตัวที่เกิดขึ้นในเมืองลอยฟ้า ลาเวียสนั้นเพียงพอแล้ว เธอจึงหาสถานที่ใหม่ในทางเหนือและสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้คน จนมีเพื่อนมากมายในโมราต้า
 “แต่ว่าฉันต้องหาทางแก้คำสาปให้ได้ซะก่อน…”
สีหน้าของดาอินดูเคร่งเครียด
คณะสำรวจทั้งหมดต่างก็ได้รับคำสาปจากการที่ไปสำรวจดินแดนแห่งมนต์ดำ
ผิวหนังของพวกเขากลายเป็นสีดำเหมือนกับพวกดาร์คเอลฟ์, และลวดลายเฉพาะของเผ่าพันธุ์ก็ปรากฏขึ้นให้เห็นเด่นชัด
คำสาปที่จะลดการแสดงผลของเวทย์มนต์และทักษะต่างๆลงครึ่งหนึ่ง!
มันคือคำสาปที่ไม่สามารถลบล้างออกไปได้ถึงแม้จะใช้เวทย์มนต์ศักดิ์สิทธิ์ของชาร์แมนหรือเคลริคก็ตาม
 ‘ฉันต้องไปหาพรีสต์ก่อนแล้วล่ะ
ถึงแม้ว่าพวกพรีสต์ที่อยู่ในคณะสำรวจช่วยอะไรไม่ได้ก็ตาม พวกเขาทำได้เพียงแค่เชื่อในตัวพรีสต์ของพวกเขาเท่านั้น
ดาอินไปที่วิหารเฟรย่าห์
เป็นช่วงเวลาเดียวกันที่คณะสำรวจเพิ่งกลับมา มันจึงเต็มไปด้วยผู้คนที่มารอรับการอวยพร
หลังจากที่ต่อแถวรอคอยอย่างยาวนาน ก็ถึงคิวของเธอ เธอพบกับพรีสต์แห่งวิหารเฟรย่าห์
 “ฉันต้องการรักษาคำสาปบนตัวของฉัน
 “คุณได้รับคำสาปของปีศาจโบราณสินะ
 “ใช่แล้วล่ะ
 “ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าคุณเข้าไปในสถานที่ที่ไม่ควรจะไป มันคือคำสาปที่ก่อตัวขึ้นจากการที่คุณไปสำรวจดินแดนที่ไม่ต้อนรับเหล่าผู้บุกรุก การที่จะถอนคำสาปได้นั้น คุณจำเป็นต้องเตรียมวัตถุดิบเหล่านี้ อันได้แก่ ไม้เคลป์ไพน์, ผงทองคำขาว, แครอท, และเลือดของกระต่ายขาว ถ้าคุณทาส่วนผสมเหล่านี้ลงบนตัวของคุณ แล้วจากนั้นผสมมันเข้าด้วยกันและดื่มมันให้หมด คุณจึงจะเป็นอิสระจากคำสาปนี้ได้
นอกจากไม้เคลป์ไพน์แล้ว ถึงแม้มันจะใช้เวลามากสักหน่อย การเก็บรวบรวมพวกมันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิด
ดาอินยิ้มราวกับว่าเธอไม่ได้คาดหวังว่าการรักษามันจะง่ายอย่างที่เธอคิด
 “ขอบคุณมาก
 “ด้วยความยินดี ความสงบสุขทั้งปวงที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนเป็นไปตามพระประสงค์ของเทพธิดา
* * *
 “ขายของจ้า ขายของ ทางนี้รับซื้อของด้วยนะจ๊า!”
 “บอกข้ามาได้เลยว่าท่านต้องการอะไร
เสียงของกลุ่มพ่อแค้แม่ค้าที่กำลังต่อแถวอยู่ในจัตุรัสข้างนอกวิหารเฟรย่าห์ดังขึ้นไปทั่วทุกสารทิศ
การแข่งขันของพวกพ่อค้าแม่ค้าสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในทวีปเวอร์เซลล์
หลังจากที่ขายของที่เธอรวบรวมมาหมดแล้ว ดาอินนั่งพักผ่อนอย่างใจเย็นอยู่ที่จัตุรัส
 ‘ครั้งนี้ ฉันจะได้พักผ่อนและรอเขามาซะที
การที่จะได้พบกับวีดนั้นคือเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวของการมายังที่โมราต้าแห่งนี้
อย่างไรก็ตาม วีดก็ยังไม่กลับมาโมราต้า และเธอก็เบื่อที่จะรอและออกไปผจญภัยต่อ
เมื่อเธอจากไป รูปปั้นเทพธิดาเฟรย่าห์ก็ถูกสร้างขึ้น พร้อมกันกับผลงานประติมากรรมต่างๆและปราสาทก็มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปเช่นกัน
มีข่าวลือเกี่ยวกับวีดที่ว่าเจ้าเมืองโมราต้าได้กลับมาดูแลกิจการภายในเมือง อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเขาจะออกไปผจญภัยอีกแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นที่รู้กันว่าการที่จะได้พบเขานั้นยากมาก
 ‘มันจะมีโอกาสสักเท่าไหร่กันน้า ที่เขาจะกลับมา ในขณะที่เธอออกไปทำอย่างอื่น?’
ดาอินมองไปที่อาคารต่างๆซึ่งมันไม่เคยมีมาก่อน บนถนนที่ถูกพัฒนาขึ้นมาใหม่ เธอเดินไปรอบๆอย่างโดดเดี่ยว เดียวดาย
 ‘รูปปั้นเทพธิดาเฟรย่าห์, เฮ๊อะ…’
เธอมองไปที่รูปปั้นอันงดงามของเทพธิดาเฟรย่าห์ เธอรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย สำหรับเธอ ผู้ที่มีความน่ารัก สดใสมากกว่าผู้หญิงทั่วๆไป เพียงเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเธอ จะมองตัวเองในทางที่ดีแล้วก็ตาม แต่มันก็อดไม่ได้ที่เธอจะรู้สึกรำคาญอยู่บ้าง
เธอต้องการที่จะกลับไปยังสถานที่ ที่ซึ่งประดิษฐานไว้ด้วยประติมากรรมแห่งความทรงจำของเธอ ณ ถ้ำลาเวียส แต่ถ้าเธอทำอย่างนั้น มันจะยิ่งเจอวีดยากขึ้นไปอีก
มันเป็นช่วงที่ดาอินกำลังมองไปรอบๆจัตุรัส
 “ขอโทษนะคะ
เธอมองกลับไปยังเจ้าของเสียงที่เรียกหาเธอ
ดูผอมและบอบบาง ผู้หญิงที่มาพร้อมกับแววตาอันใสซื่อบริสุทธิ์ ดูจากเสื้อคลุมสีขาวที่เธอสวมใส่อยู่นั้น เธอต้องเป็นผู้เล่นที่มีอาชีพเคลริคหรือไม่ก็พรีสต์อย่างแน่นอน
 “คุณเรียกฉันเหรอ?”
 “ใช่ค่ะ
 “มีอะไรให้ฉันช่วยอย่างงั้นเหรอ?”
 “โอ้ ดิฉันต้องขอโทษด้วยนะคะที่ต้องถามแบบนี้หลังจากที่เพิ่งเจอคุณได้ไม่นานคุณคือชาร์แมนที่รู้จักกันในนามว่าดาอินใช่มั้ยคะ?”
 “ใช่ ถูกต้องแล้วล่ะ
 “วิ้ว! ในที่สุดฉันก็หาคุณพบซะที ฉันชื่อไอรีน
การเริ่มบทสนทนาของไอรีน ทำให้เธอรู้แปลกๆและดูอึดอัดไม่ค่อยสะดวกสบายนัก แต่เธอไม่สามารถซ่อนความดีใจที่เธอแสดงออกมาได้เมื่อเธอหาดาอินพบ
 “ปาร์ตี้ของฉันกำลังทำเควสอยู่ในตอนนี้ แต่มันค่อนข้างไกลมาก และพวกเราคิดว่ามันจพดีมากหากมีใครสักคนที่มีเวทย์มนต์สำหรับการผจญภัยเยอะๆ ดังนั้นพวกเราเลยพยายามที่จะหาชาร์แมนมาร่วมปาร์ตี้เดียวกันกับพวกเรา
ชื่อของเควสที่เพลค้นพบนั้นคือ ความลับการผลิตชุดเกราะโบราณ
มันมีการกล่าวกันว่ามีบันทึกที่เกี่ยวกับกรรมวิธีในการผลิตถูกฝังอยู่ที่ไหนซักแห่งในทางเหนือ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการรับสมัครนักผจญภัยและชาร์แมน จากนั้นก็ออกเดินทาง แล้วพวกเขาก็ได้ยินชาร์แมนผู้มีชื่อเสียงอันโด่งดังนามว่าดาอิน ซึ่งเธอได้กลับมาที่โมราต้าอีกครั้งและ พวกเขาก็หาเธอพบ
ไอรีนอธิบายอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ดูกังวล
 “ระดับความยาก คือ ระดับ C ถ้าคุณไม่รังเกียจ คุณอยากที่จะร่วมผจญภัยไปกับพวกเราด้วยมั้ยคะ?”
ดาอินพยายามอ่านสีหน้าของไอรีนอย่างช้าๆ
 ‘ดูท่าทางแล้ว เธอน่าจะเป็นคนดีแหะ อายุก็ประมาณใกล้เคียงกับเรา…’
แต่ตอนนี้เธอไม่เต็มใจที่จะออกไปทำเควส เธออยู่ในสถานะที่กำลังรอคอยใครสักคน
เธอไม่สามารถที่จะรอวีดให้กลับมาโมราต้าได้ตลอดเวลาหรอกนะ แต่ว่าเธอเพิ่งมาหลังจากที่การผจญภัยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เธอต้องการพักผ่อนบ้าง
 “ฉันต้องขอโทษเธอด้วยนะ ตอนนี้ฉันต้องการพักสักหน่อย…”
ในตอนที่ดาอินกำลังพูดอยู่นั้นเอง หญิงสาวที่สวมใส่ชุดเลิศหรู ดูอลังการมาก อีกทั้งยังประดับประดาด้วยอัญมณีมากมาย เธอเดินตรงมาหาพวกเธอจากอีกฟากของร้านค้า
ทุกครั้งที่เธอก้าวเดินไปข้างหน้าในแต่ละก้าวอย่างช้าๆ สายตาของผู้เล่นที่อยู่ในจัตุรัส ต่างพากันจ้องมองเธออย่างไม่ลดละ แค่การได้มองเธอเดินไปมาก็ทำให้รู้สึกกระฉับเฉง กระปี้กระเป่า ดูมีพลังมากขึ้น
 ‘เธอเป็นแดนเซอร์
อย่างไรก็ตาม มีเพียงอาชีพเดียวที่สามารถออกไปผจญภัยหรือออกล่าในขณะที่สวมใส่ชุดสวยๆได้ มีเพียงแค่ นักดนตรีและนักเต้น เธอยังใส่เครื่องประดับอื่นๆอีก เช่น กำไล สร้อยคอ ต่างหู และรองเท้าส้นสูงที่สะดวกสบายในการเต้น
เพราะว่าเธอไม่ได้ถือเครื่องดนตรีเลยสักชิ้น ดาอินจึงสรุปได้ว่าเธอเป็นแดนเซอร์แน่นอน
 “คุณพี่ฮวารยอง คุณไปไหนมาคะ?”
 “ฉันไปกินข้าวที่ร้านอาหารมาน่ะ แล้วคนนี้นี่ ใครกันน่ะ?”
 “นี่คือคุณอาดิน เธอคือชาร์แมนผู้โด่งดัง…”
 “อ้า คนๆนั้นเองหรอกเหรอ!”
ฮวารยองมองไปที่ใบหน้าของดาอิน ทำเหมือนอย่างกับว่าเธอเห็นอะไรที่มันแปลกใหม่
เพราะว่าเธอเป็นชาร์แมนที่มีผิวสีดำดุจดั่งอัญมณี เธอจึงดูมีเอกลักษณ์เป็นพิเศษ
 “เธอได้ถามเค้ามั้ยว่าจะมาทำเควสกับพวกเราน่ะ?”
 “ค่ะ แต่ช่างน่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าเธอไม่สามารถทำเควสกับพวกเราได้
ดาอินที่กำลังยืนอยู่ข้างๆและฟังบทสนทนาที่เกิดขึ้นระหว่างฮวารยองและไอรีน ทันใดนั้นเธอก็พูดแทรกขึ้นมา
 “เฮ้ พวกเธอ ฉันเปลี่ยนใจแล้วล่ะ
 “อะไรนะ?”
 “การผจญภัยที่พวกเธอเพิ่งคุยกันเมื่อกี้นี้ ฉันอยากทำมันด้วยน่ะ
 “จริงเหรอคะ? ยอดเยี่ยมที่สุด! ขอบคุณค่ะ
 “อือ ขอบคุณที่รับฉันเข้าปาร์ตี้ด้วยนะ
ดาอินยอมรับคำชักชวนของไอรีน
รูปปั้นเทพธิดาเฟรย่าห์ที่ลอร์ดโมราต้าวีดเป็นคนแกะสลักมันขึ้นมา!
มันเป็นเพราะว่าใบหน้าของรูปปั้นและของฮวารยองนั้นเหมือนกันราวกับปาฏิหาริย์
* * *
ลี ฮุนฝึกฝนร่างกายทุกวันที่สำนักของอัน ฮุน โด
กล้ามเนื้อทุกส่วนของลี ฮุนเห็นเด่นชัดปราศจากซึ่งไขมัน ความแข็งแกร่งทางร่างกายและความอึดเพิ่มขึ้นทุกวัน ขณะที่ได้รับประสบการณ์การฝึกราวกับนรกจากคำแนะนำของครูฝึกที่แตกต่างกันถึง 4 แบบ ซึ่งแต่ละแบบใช้เวลา 30 นาที ร่างกายของลี ฮุนในตอนนี้จึงแข็งแกร่งดุจดั่งอาวุธมหากาฬ
 “ไม่ว่าดาบจะมีความคมมากแค่ไหนก็ตาม มันก็ไร้ประโยชน์เมื่อมาอยู่ในมือของคนที่ไร้ค่า ถ้านายไม่สามารถควบคุมร่างกายได้อย่างสมบูรณ์ นายก็ลืมไปได้เลยที่จะจับดาบเล่มนั้นขึ้นมา ถึงแม้ว่าการฝึกจะยากลำบาก มันก็เป็นกระบวนการที่จำเป็นสำหรับการกวัดแกว่งดาบ
ลี ฮุน เชื่อมั่นและทำตามการฝึกอันแสนทรหดของจุง อิล ฮุน เขาพยายามอดทนต่อการฝึกนรกในครั้งนี้โดยที่ไม่ปริปากบ่นเลยแม้แต่คำเดียว
จนถึงขั้นที่ว่าครูฝึกแต่ละคนยังต้องปรึกษากันในหมู่พวกเขา
 “ไม่ใช่ว่าการฝึกมันหนักเกินไปรึเปล่าวะ?”
 “ถ้าพวกเราทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เขาจะขอลาออกมั้ยเนี่ย?”
 “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ แต่อาจารย์บอกพวกเราให้ทำอย่างนี้ เขาต้องมีความคิดอะไรสักอย่างอยู่ในหัวแน่
 “นั่นก็อาจจะใช่นะ?”
 “ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่แล้วเขาจะไม่ค่อยมีความคิดอะไรแบบนี้มากนักหรอก…”
“...”
ทุกครั้งที่ ลี ฮุน ทำการฝึกฝนร่างกาย เขาจับความรู้สึกได้ว่าทักษะที่แท้จริงของเค้านั้นกำลังเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าร่างกายของเค้ามั่นคงแข็งแรงแล้ว ความแข็งแกร่งทางจิตใจจะได้รับการบ่มเพาะให้อยู่เหนือจุดสูงสุด
พลังอำนาจอันแข็งแกร่งทางจิตใจจะก่อตัวขึ้นถ้าเขาผ่านการฝึกฝนอันยากลำบากในครั้งนี้ไปได้!
เมื่อเขาผ่านการฝึกในแต่ละช่วง เขาจะพักเบรกพร้อมกับดื่มชาที่อัน ฮุน โดเอาให้เขา
 “มันคือชาขิง
 “ขอบคุณครับ อาจารย์
ลี ฮุนดื่มชาขิงจนหมด
เขากระหายน้ำมาก แต่ที่เขาสามารถดื่มมันได้อีกแก้วก็เพราะมันเป็นชาเพื่อสุขภาพ!
อัน ฮุน โด พูดหลังจากที่รินชาขิงอีกแก้วให้เขาดื่ม
 การฝึก หนักไปมั้ย?”
 “มันก็พอผ่านไปได้ครับ
 “ดี ช่างน่าสรรเสริญยิ่งนัก ด้วยความคิดแบบนี้แหละ จะทำให้เจ้าพัฒนาไปได้ไกลมากยิ่งขึ้นไปอีก แล้วชีวิตที่เหลืออยู่ของเจ้าล่ะ เจ้าจะทำยังไงกับมันรึ?”
 “ชีวิตของผมเหรอครับ?”
 “ใช่แล้วล่ะ อาจารย์กำลังพูดถึงชีวิตของเจ้า อาจารย์กำลังพูดถึงการดำเนินชีวิตของเจ้า
หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก ลี ฮุนก็พยักหน้า
 “มันก็ดีครับ
 “ดี? อะไรดีล่ะ?”
 “คุณย่าของผม การรักษาของเธอเป็นไปได้ด้วยดี และน้องสาวของผม การเรียนก็ดีเช่นกัน ส่วนตัวผม…”
ลี ฮุน ลังเลอยู่สักพักและพูดออกมา
 “สำหรับผมแล้วมันไม่มีภาระหรือเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอีกต่อไป
ในวันที่ต้องพบกับความยากลำบาก แค่การกิน การอยู่ ก็กลายเป็นปัญหาที่สร้างความกังวลใจเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่าบางครั้งเขาไม่ได้รับการรักษาในยามที่เขาเจ็บป่วย แต่ตอนนี้เขาสามารถเก็บเงินได้เพียงพอแล้ว การที่เขาได้เล่นรอยัล โร้ด เขาสามารถซื้ออะไรก็ได้ที่พวกเขาต้องการ ดังนั้นมันจึงไม่มีเหตุปัจจัยที่ทำให้เขาต้องเดือดร้อนหรือกังวลอีกต่อไป
อัน ฮุน โด ส่ายหัวของเขา
 “นั่นใช่ชีวิตที่เจ้าต้องการใช้จริงๆอย่างนั้นหรือ?”
“...”
 “เจ้าพอใจกับชีวิตแบบนี้แล้วงั้นเหรอ?”
 “ครับ
ลี ฮุน ตอบแบบง่ายๆ
การเรียนในมหาวิทยาลัยค่อนข้างปวดหัวและน่าเบื่อหน่าย แต่นอกจากเขาได้สิ่งที่ตัวเองต้องการแล้ว เขาก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างสมถะและเรียบง่าย
 “ตอนนี้มันสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว ผมได้ไปเรียนแม้กระทั่งในมหาวิทยาลัยด้วย น้องสาวของงผมการเรียนก็ดีไม่มีขาดตกบกพร่องอะไรสักอย่าง และ สุขภาพร่างกายของคุณย่าก็ค่อยฟื้นคืนกลับมาดีขึ้นเรื่อยๆ…”
อัน ฮุน โด ถามแบบกะทันหัน
 “แล้วงานที่เจ้าอยากทำล่ะ
 “…งานที่ผมอยากทำเหรอครับ?”
 “ไม่ว่ามันจะเป็นจุดมุ่งหมายหรือความฝันเมื่อครั้งที่เจ้ายังเยาว์วัย หรือ งานอะไรสักอย่างที่เจ้าต้องการทำ
ลี ฮุน เงียบอยู่ครู่หนึ่ง
ที่เขามีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ก็เพื่ออนาคตของน้องสาว
ในยามที่เขาหลับนอน เขามักจะกลัวว่าวันนั้นจะมาถึง วันที่เขาต้องการกังวลในขณะที่กินข้าวไปด้วย กลัวว่าเขาควรจะทำอะไรดีหลังจากที่ความหิวโหยหายไปแล้ว
หากปราศจากซึ่งความหวัง เขาต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความอดอาลัยตายอยาก
ถ้าไม่มีความรับผิดชอบต่อครอบครัวของเขาแล้วนั้น เขาคงจะตัดสินใจทำอะไรที่มันสุดโต่งเกินไปแล้วก็ได้
ตอนนี้น้องสาวของเขาโตขึ้นมากแล้ว และเธอได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย อีกทั้งยังได้รับทุนการศึกษาด้วย การผ่าตัดใหญ่ของคุณย่าก็จบลงเรียบร้อยและคุณย่าก็กำลังอยู่ในช่วงของการพักฟื้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
จุดมุ่งหมายของการมีชีวิตอยู่ของลี ฮุน ก็คือการมีชีวิตอยู่เพื่อครอบครัวของเขา หากมีเหตุการณ์ที่เขาไม่สามารถดูแลครอบครัวของเขาได้อีกต่อไป อะไรก็ตามที่เขาอยากทำหลังจากนั้น เขาไม่เคยคิดถึงมันมาก่อนเลยสักครั้งเดียว
หลังจากที่ถอนหายใจ ลี ฮุนก็พูดออกมา
 “ผมไม่มีความฝันอะไรเลย
* * *
เหล่านักดาบทั้งหลายพากันเดินผ่านที่ราบแห่งความสิ้นหวังและเดินทางมาถึงหมู่บ้านออร์คในภูเขายุโรกิ
สถานที่แห่งนี้เป็นจุดเกิดของเหล่าผู้เล่นออร์คหน้าหมู และ เพราะพวกเขามีอัตราการขยายพันธุ์ที่สุดยอด ซึ่งทำให้เกิดเป็นครอบครัวขนาดใหญ่
หลังจากที่ผู้หญิงหรือผู้ชายได้ทำการตัดสินใจเลือกคู่ของพวกเขาเรียบร้อยแล้ว แม้กระทั่งแค่การกินอาหารร่วมกันเพียงหนึ่งมื้อ ทารกออร์คก็โผล่ออกมาจากไหนก็ไม่รู้
นักดาบ5 เอามือกุมขมับ
 “ฉิบหายแล้วมั้ยล่ะ การที่พวกเขาแต่งงานกับพวกออร์คนั่น…”
นักดาบ3 ปัดไหล่ของเขา
 “มันเป็นเรื่องปกติครับรุ่นพี่ ก็แค่ผู้ชายกับผู้หญิงกินข้าวด้วยกัน พวกเราต้องเข้าใจนะว่านี่คือธรรมชาติของพวกออร์คน่ะ
นักดาบ4 พูดแทรกขึ้นมา
 “รุ่นพี่ ผู้ชายอย่างเราต้องเปิดหูเปิดตาให้กว้างเข้าไว้เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ในการเอาชนะเกมนี้นะ
แน่นอน การมีเซ็กซ์จริงๆนั้นสามารถเป็นไปได้ในรอยัล โร้ด (แอบติดเรทแหะ 555)
พวกมนุษย์หรือเอลฟ์สามารถครอบครองบ้านได้ และมีอยู่หลายกรณีที่เหล่าคู่รักทำอย่างนั้นเพื่อที่จะดื่มด่ำไปกับช่วงเวลาอันมีค่าด้วยกันเพียงสองคน
อย่างไรก็ตาม ในกรณีของพวกออร์คนั้นออกจะพิเศษสักหน่อยถ้าพวกเขากินข้าวด้วยกันกับผัวเมีย หรือใครสักคนที่พวกเขาใกล้ชิด ทารกออร์คก็จะโผล่ออกมา (มันเป็นเกมอย่าไปคิดเยอะ ว่ามันโผล่มาจากไหน 555)
ในตอนแรกมันดูไม่น่าจะเป็นไปได้ อีกทั้งพวกออร์คผู้ชายจำนวนมากที่โดดเดี่ยวและไร้คู่ พูดออกมาว่ากระบวนการมันง่ายเกินไป อันที่จริงมันเป็นเพราะลักษณะของเผ่าพันธุ์ออร์คที่มีฟังก์ชั่นการผลิตลูกแรงเฟ่อๆ มันมีแม้กระทั่งความคิดอันชั่วร้ายของคนที่ต้องการใช้ประโยชน์จากเรื่องแบบนี้เพื่อสนองตัณหาของพวกเขาเหล่านั้น
ไม่นานพวกเขาก็รู้ถึงเหตุผลที่ว่าทำไมพวกออร์คถึงทำลูกได้ง่ายดายยิ่งนักด้วยการกินอาหารด้วยกันเพียงหนึ่งมื้อ
 ‘ดูเหมือนว่าต้องใช้นิ้วถึง 4 นิ้วเลยแหะ ถึงจะฟิทพอดีกับคู่ขาออร์คผู้หญิง
 ‘คู่ขาที่เป็นออร์คผู้ชาย! ถ้าเขาอ้าปากกว้างและหาวออกมานะ, แตงโมทั้งลูกคงจะฟิทพอดีในปากเลยแหะ
 ‘แค่มองดูขนาดที่อ้วนมโหฬารและพุงย้วยๆนั่น ถ้าคนมีสติ มันคงเป็นไปได้ยากที่จะอยู่ร่วมกันกับเขา
 ‘เฮ้อ รู้สึกช่างโล่งใจยังไงก็ไม่รู้แหะ
พวกเขาดูพึงพอใจมากที่ต้องทำทั้งหมดมีเพียงแค่การกินอาหารด้วยกันเท่านั้น และพวกออร์คก็สืบพันธุ์ ขยายพันธุ์ วนเวียนไปอยู่อย่างนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หมู่บ้านออร์คบนภูเขายุโรกิ กำลังแผ่ขยายออกไป
ออร์คผู้ใหญ่จะดูแลพวกออร์คเด็กๆและทารกเพื่อให้พวกเขาโตขึ้น ครอบครัวออร์คเมื่ออยู่รวมกันมากเข้า ก็พัฒนากลายไปเป็นชนเผ่า และออร์คก็ทำหน้าที่คอยควบคุมกำกับดูแลครอบครัวที่มีอยู่
ในเมื่อซีชวิเป็นออร์คคอมมานเดอร์ หลังจากที่เธอมายังภูเขายุโรกิ เธอก็ฉายแววความสารถของเธอจนเปล่งประกายออกมา
 “เจ้าพวกออร์ค ชวิ ชวิ ชวิค!! พวกเราต้องกินมากกว่านี้ ต้องมีอาหารมากกว่านี้ ออกไปสู้ซะ ชวิค!”
ไม่มีทั้งคำอธิบายที่ดูสมเหตุสมผลหรือมีเหตุผลดีๆอะไรแบบนั้น เธอก็แค่ทำให้พวกออร์คพอใจด้วยการใช้ตรรกะความคิดที่เรียบง่ายคือ กิน ต่อสู้ และสร้างลูกสมุน
บริเวณใกล้เคียงหมู่บ้านออร์ค มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางมาเพื่อเปิดหูเปิดตาคลายความสงสัยที่พวกเขามี
 “พวกออร์คช่างดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสุดๆ
 “ออร์คเพียงลำพังอาจจะดูอ่อนแอ แต่อัตราการขยายพันธุ์ของพวกมันเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก พวกมันไม่มีนักรบรับจ้าง ทารกออร์คสามารถออกมาได้อย่างง่ายดายและยังปวารณาเสนอตัวรับใช้พวกมันด้วยความจงรักภักดีอีกต่างหากฉันคิดว่าพวกออร์คต้องโตเร็วสุดๆเลยล่ะ
 “มันจะยังโอเคอยู่รึเปล่า ถึงแม้พวกเขาจะพูดกันว่าพวกออร์คนั้นไม่ลงรอยกันกับพวกดาร์คเอลฟ์?”
 “ในเมื่อผู้เล่นสามารถเลือกเผ่าดาร์คเอลฟ์ได้แล้ว ต่อไปอาจจะมีปัญหารุนแรงเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาก็เป็นได้
 “ในอนาคตคงมีสงครามกับพวกมนุษย์ด้วย
 “สงครามเผ่าพันธุ์ระหว่างออร์คกับมนุษย์? มันก็เป็นไปได้นะ ถ้าจำนวนของพวกออร์คเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว และพวกเขามายังทางตอนกลางได้ล่ะก็ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาอาจได้จ๊ะเอ๋เจอกันแน่นอน
 “แล้วนี่ไม่ใช่โอกาสอันดีเหรอที่จะโจมตีพวกออร์คในยามที่พวกมันอ่อนแอแบบนี้?”
 “พวกเราจะไม่ได้อะไรเลยจากการต่อสู้กับพวกออร์ค อีกอย่างมันอยู่ไกลเกินกว่าที่กองทัพของพวกมนุษย์จะเดินผ่านที่ราบแห่งความสิ้นหวังแล้วมาถึงที่นี่ ถ้าการต่อสู้กับพวกออร์คเกิดขึ้นจริงๆล่ะก็ มันคงเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นผ่านการทำเควส ดังนั้นผู้เล่นหลายคนจึงได้แต่เฝ้ารอให้มันเกิดขึ้น
พวกนักท่องเที่ยวไม่ได้เข้าไปข้างในหมู่บ้าน ได้แต่เพียงสังเกตจากข้างนอกเท่านั้น นั่นก็เพราะว่าความสัมพันธ์ระหว่างออร์คกับมนุษย์นั้นไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ มันจึงอันตรายที่จะเข้าไปใกล้
อย่างไรก็ตาม พวกนักดาบเข้าไปในหมู่บ้านออร์คโดยไม่มีพิธีรีตองอะไรแบบนั้น และเมื่อได้เห็นพวกนักดาบทำเควสด้วยกันกับออร์คผู้หญิง เหล่านักท่องเที่ยวต่างตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
 “เฮ้ย เป็นไปได้ไงวะนั่นน่ะ การที่มนุษย์เข้าไปทั้งๆอย่างนั้น? อีกอย่างพวกออร์คดูไม่สนใจพวกเขาเลยว่ะ
 “มันต้องเป็นส่วนหนึ่งของเควสแน่ๆ
 “ฉันว่ามันต้องเป็นลักษณะอะไรสักอย่างที่เกี่ยวข้องกับสายอาชีพของพวกเขา ฉันได้ยินมาว่ามันมีบางอาชีพที่มีความสนิทสนมสูงเป็นพิเศษกับพวกเผ่าอื่นๆ
ในขณะที่พวกนักท่องเที่ยวกำลังถกเถียงกันถึงประเด็นที่เกิดขึ้น คำตอบที่น่าเชื่อถือก็ปรากฏขึ้น
 “แค่มองไปที่รูปร่างของพวกเค้าแล้วนั้น มันมีอะไรแตกต่างระหว่างพวกเขากับออร์คผู้ชายงั้นเหรอ?”
“...”
เพียงแค่มองเข้าไปใกล้ๆ คำอธิบายนั้นก็พิสูจน์ได้เป็นอย่างดี
ถึงแม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่า พวกเขานั้นเป็นมนุษย์ ที่มีไหล่กว้างและลักษณะทางกายภาพของพวกเขานั้นยังดูดีกว่าพวกออร์คซะอีก
แค่การได้เห็นร่างกายของพวกเค้าเหล่านั้น ออร์คธรรมาดาๆก็ดูเป็นมิตรกับพวกเขาขึ้นมาทันที
* * *
 “ไฮ้ ย๊า!”
นักดาบกวัดแกว่งดาบสองมืออย่างบ้าคลั่ง
ยักษ์ ในด้านพละกำลังความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวแล้วนั้น มันไม่เป็นรองมอนสเตอร์ตัวไหนเลย
นักดาบนั้นเป็นผู้ที่อยู่เหนือจุดสูงสุดของอาชีพและกฎเกณฑ์ต่างๆ แม้กระทั่งศิลปะการใช้ดาบก็ยังไม่สามารถระงับความโกรธของเขาเอาไว้ได้
การเคลื่อนไหวของดาบที่ไหลลื่น รวดเร็ว และคมกริบ
*คุโหหหหหห!*
ยักษ์เหวี่ยงขวานของมันไปมาด้วยความเกรี้ยวกราด แม้กระทั่งสายลมยังพัดผ่านหน้าของเขาจากแรงเหวี่ยงของขวาน ยักษ์ไม่สามารถตามการเคลื่อนไหวของนักดาบได้ทัน
ชิ้ง!”
นักดาบฟันดาบลงไปที่สีข้างของยักษ์ ไม่ว่าเขาจะมีพลังโจมตีที่โดดเด่นสักเท่าไหร่ ยักษ์ก็ไม่ได้ตายง่ายขนาดนั้น
เพราะว่าเขาไม่ได้ใช้ทักษะอะไรเลย เขาจึงยังมีมานาเหลืออีกตั้งเยอะ เขาไม่ได้ตั้งใจเล็งไปที่จุดตาย แต่ยังคงไล่ฟันไปทั่วทั้งตัวของยักษ์
คำพูดของลูกศิษย์ที่ฉลาดที่สุด ผู้ที่มาพบเจอในช่วงบั้นปลายชีวิตของเขา คำพูดเหล่านั้นยังคงตราตึงอยู่ในหัวของเขา
 “การที่บอกว่าไม่มีความฝัน…”
ความทรงจำเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่มของนักดาบปรากฏขึ้นในหัวของเขา
 ‘สำหรับเราแล้ว มันมีเพียงแค่การต่อสู้เท่านั้น
เขาไล่ล่าตามหาความแข็งแกร่งและก้าวไปข้างด้วยการต่อสู้อยู่เสมอซึ่งมันทำให้เลือดของเขานั้นสูบฉีดอยู่ตลอดเวลา
มีอยู่หลายครั้งที่เขาต้องเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต และเขายังพยายามดิ้นรนต่อไปแม้ว่าจะได้รับบาดแผลจนถึงขั้นต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นตายร้ายดีก็ไม่ต่างกัน ถึงแม้ว่าเขาพึงพอใจที่สามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาได้ มันก็เป็นแค่เส้นทางที่นำไปสู่การมองหาความท้าทายใหม่ๆ การท้าทายกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
หลังจากที่ต่อสู้และฝึกฝนเพียงอย่างเดียวราวกับว่าถูกอะไรบางอย่างเข้าสิง วันเวลาในวัยเยาว์ของเขาก็ผ่านไป
แล้วอยู่มาวันหนึ่ง เขารู้สึกตัวอีกทีและมองไปรอบๆ เขาได้ก้าวมายืนอยู่บนจุดสูงสุดของนักดาบ
เกียรติยศความภาคภูมิใจและรอยแผลเป็นที่เขาได้รับทุกครั้งที่สามารถจัดการคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เขาทำลายทุกสถิติ โดดขึ้นมาเป็นนักดาบที่ไม่มีใครรอดพ้นจากคมดาบของเขาได้
ถึงแม้ผู้คนทั่วไปจะไม่รู้จักเขาก็ตาม ผู้ที่อยู่ในด้านศิลปะการต่อสู้และคนที่อยู่บนเส้นทางการต่อสู้ ต่างรู้จักเขากันเป็นอย่างดี และความน่ากลัวของเขา
นอกเหนือจากเรื่องราวพวกนั้นแล้ว ส่วนหนึ่งที่ขาดหายไปภายในจิตใจอันว่างเปล่าของนักดาบ หลังจากที่เขาประสบความสำเร็จ เขาไม่มีแม้แต่คู่ชีวิต และครอบครัวของเขายังคิดว่าเขาตายไปแล้วอีกด้วย
 “เราไม่มีแม้แต่ครอบครัว
ความอ้างว้างและสิ้นหวังเป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากความสำเร็จอันสูงสุดในชีวิต!
 “ถึงแม้ว่าเราจะกลายมาเป็นสุดยอดปรมาจารย์ดาบ แต่ไม่มีใครเลยสักคนที่อยู่เคียงข้างเรา
ก่อนหน้าที่นักดาบจะกลับมาใช้ชีวิตปกติในเกาหลี การตามหาครอบครัวของเขาและการอบรมเลี้ยงดูลูกศิษย์ เขาใช้เวลาไปกับการอยู่คนเดียวมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน
มันไม่มีเหตุผลจำเป็นเลยสักนิดที่ลูกศิษย์ของเขาจะเจริญรอยตามเส้นทางที่เขาได้วางไว้
นั่นก็เพราะว่าเขาต้องแบกรับภาระของครอบครัวอันหนักอึ้งเอาไว้อยู่ตลอดเวลา ถ้ามันมีอะไรบางอย่างที่สามารถทำร่วมกันเป็นครอบครัว ทำกับเพื่อน และ พี่น้อง มันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องรู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยวอีกต่อไป
วีดมีทั้งความมุ่งมั่นอันแรงกล้าและการตัดสินใจที่เด็ดขาด แน่วแน่ และยังครอบครองความสามารถในการตอบโต้ได้อย่างทันทีทันใดและยังสามารถนำทักษะของเขามาใช้ในการฝึกซ้อมได้อีกด้วย ถ้าเขามีอะไรที่ต้องทำล่ะก็ เขาจะทำมันในทันที โดยไม่มีการรีรอหรือลังเลแม้แต่นิดเดียว
บางครั้งเขาก็แสดงท่าทีเขินอายบ้าง เขาก็ยังเป็นผู้ชายอยู่ดี
สภาพของเขาในตอนนี้นั้นเหมือนเด็กที่กำลังมองหาเป้าหมายและความฝันในชีวิตของเขา
 “ฉันล่ะอิจฉาเด็กนั่นชะมัด
ความรู้สึกที่ซื่อตรงของนักดาบเข้าใจลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเขามีน้องสาวแสนสวยและน่ารักอย่างลี ฮายันล่ะก็ เขาคงจะไม่จากครอบครัวของเขาไปอย่างแน่นอน
 “ไหนจะเพื่อนของเค้าอีกล่ะ
นอกจากนั้นแล้วเขายังมีเหล่าสาวๆแสนสวยอย่างฮวารยอง ไอรีน และ โรมุนะอยู่ข้างกาย
นักดาบมองย้อนกลับไปถึงความทรงจำของเขา
อันที่จริงแล้ว เขามีชีวิตความเป็นอยู่เมื่อตอนยังหนุ่มแบบไหนกันแน่นะ?
 “มีเพียงแค่ผู้ชายที่โชคร้ายและหน้าตาไม่ดีเท่านั้น! ข้าต้องแข็งแกร่งเพื่อบดขยี้ไอ้พวกเวรอวดดีนั่น
ถ้าเขาอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอิจฉาแบบเดียวกับวีดแล้วล่ะก็ ทำไมเขาต้องต่อสู้อย่างเดียวเมื่อตอนที่ยังเป็นหนุ่มอยู่ด้วยล่ะ!
 “ความเหงา โดดเดี่ยว เปล่าเปลี่ยวและเดียวดาย ชีวิตที่ไร้คู่
นักดาบยังคงคร่ำครวญ พร่ำบ่นไปเรื่อย จนนำมาสู่การตัดสินใจที่แข็งกระด้าง ไร้ซึ่งความรู้สึก
 “ดูเหมือนว่าเราจะปล่อยให้เขาอยู่ภายใต้การฝึกของครูคนอื่นนานเกินไปแล้ว มันถึงเวลาที่เขาต้องได้รับบทเรียนซะที
เขาจะแสดงให้วีดเห็นว่าการฝึกนรกของแท้นั้น มันเป็นยังไง
เขาตั้งใจที่จะสอนวีดด้วยดาบของจริง (อันนี้ไม่รู้ว่าสอนโดยใช้ดาบจริงๆ หรือ สอนถึงวิถีดาบที่แท้จริงกันแน่)
* * *
งานเทศกาลกำลังใกล้เข้ามา จำนวนนักเรียนที่อยู่ในมหาวิทยาลัยเกาหลีจนดึกๆดื่นๆ ค่อยๆเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แต่ละคณะกำลังเตรียมการแสดงและวงดนตรี และเวทีสำหรับการประกวดร้องเพลงก็กำลังถูกติดตั้ง อย่างที่ทุกคนคาดหวังเอาไว้เกี่ยวกับเทศกาลดนตรี โชว์มายากลและแม้กระทั่งการแข่งขันกีฬากระชับมิตรระหว่างมหาวิทยาลัย ต่างพูดถึงกันแบบปากต่อปาก
ลี ฮุน ไม่สามารถเข้าใจอะไรแบบนี้ได้
 “ทำไมเราต้องทำอะไรที่สามารถดูผ่านทางโทรทัศน์ด้วยล่ะ?”
ด้วยความที่ว่าเขานั้นขาดประสบการณ์ในเรื่องพวกนี้ การที่ไม่ได้เข้าร่วมงานเทศกาลโรงเรียนที่จัดขึ้นเพียงไม่กี่วันก็เป็นเรื่องที่ทำให้เขาพอใจแล้ว สำหรับลี ฮุน งานเทศกาลของมหาวิทยาลัยเกาหลีที่เหมาะสมกับวัฒนธรรมท้องถิ่นและการเสาะแสวงหาเหล่าดาราเซเล็ปคนดังทั้งหลาย เป็นอะไรที่ไม่สะดวกซะเหลือเกิน
แต่ ท ว่า รุ่นพี่ในคณะก็ออกมาและข่มขู่พวกเขา
 “พวกเราจะไม่ยอมให้คณะอื่นมาเด่นกว่าในงานเทศกาลนี้ไม่ได้ พวกเราจะไม่ปล่อยให้พวกนั้นอยู่เหนือพวกเรา เพียงเพราะว่าเราเป็นแค่คณะที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่ ทุกคนเข้าใจมั้ย?”
ครับ/ค่ะ!”
เหล่านักศึกษาใหม่ตอบด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
ลี ฮุนไม่พูดไม่จา
 “ช่างเป็นการปลุกใจที่ไร้ค่าชะมัด ทำไมพวกเราถึงไม่มองข้ามเรื่องพวกนี้ไปซะทีนะ? การที่ปล่อยผ่านเรื่องบางเรื่องไปซะบ้าง มันทำให้ชีวิตอยู่สบายขึ้นตั้งเยอะ หยุดการต่อต้านมหาลัยและการมีอคติต่อกันอย่างงั้นเหรอไร้สาระชะมัด
เขามีความคิดเห็นที่ต่างออกไป แต่เขาไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับปัญหาอะไรสักอย่าง เขาเลยนิ่งเงียบอยู่เฉยๆ
 ‘ถึงแม้ว่าเราไม่ได้พูดมันออกไปก็ตาม ยังไงซะก็ต้องมีใครซักคนตั้งใจที่จะพูดมันออกมาแน่ๆ
มันไม่มีกฎหรือข้อบังคับบอกเอาไว้ว่าทุกคนต้องเข้าร่วมงานเทศกาลในครั้งนี้ ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทำมีเพียงแค่รอให้มันผ่านพ้นไป
นับวัน งานเทศกาลยิ่งใกล้เข้ามาขึ้นเรื่อยๆทุกวัน คณะเสมือนจริงยังไม่วางแผนเอาไว้เลยว่าจะทำอะไร
 “แล้วถ้าพวกเราแต่งคอสเพลย์ให้เหมือนกับตัวละครในรอยัล โร้ดและเดินพาเหรดดูล่ะ?”
 “พวกเราควรจะสร้างไดโนเสาร์ขนาดบิ้กเบิ้ม พวกเราสามารถทำโฮโลแกรมทีเร็กซ์ได้ และถ้าพวกเราทำให้มันเคลื่อนไหวไปทั่วงานเทศกาลได้ล่ะก็ มันจะกลายเป็นไฮไลท์ของงานเทศกาลเลยล่ะ(Hologram=ภาพฉายหรือภาพจำลองสามมิติ ง่ายๆนึกถึง โฆษณาอะไรน้า ไอ้ยิงโฮโลแกรมสามมิติแบบล้ำๆไปเลย )
 “แล้วถ้าเป็นแรปเตอร์ล่ะ? ถ้าพวกเราทำให้มันวิ่งไปมาพร้อมกันเป็นร้อยๆตัวและไล่ล่าพวกมนุษย์…” (แรปเตอร์นึกไม่ออก ให้นึกถึงจูราสซิคเวิลร์ด ที่คนฝึกทำท่าสุดฮิต ห้ามไดโนเสาร์ ท่าเหยียดแขนออกไป)
มีแต่ความคิดเห็นไร้สาระ บ้าบอคอแตก และ หรูหรา โอ่อ่าเกินไป แต่แผนการที่ดูสมเหตุสมผลก็ยังไม่ปรากฏออกมาเป็นรูปเป็นร่างเลยแม้แต่นิดเดียว
เหลือเวลาอีกเพียงแค่สองอาทิตย์เท่านั้น ก็จะถึงวันงานเทศกาลแล้ว
เหล่านักเรียนที่อยู่ฝ่ายบริหารของคณะกำลังเรียกทุกคนทั้งคณะให้มาประชุมรวมกัน
 “พวกเราต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ
นี่คือภาพที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวของรุ่นพี่ที่อยู่ฝ่ายบริหาร รวมทั้งประธานนักศึกษาของคณะ
อย่างไรก็ตาม ยังคงไม่มีการเตรียมการหรือการวางแผนใดๆทั้งสิ้น
 “มันน่าเบื่อที่จะต้องมาเตรียมอะไรแบบนี้ทุกครั้งที่มีงานเทศกาล และตอนนี้พวกเราก็ไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้นด้วย ทำไมพวกเราไม่ยกเลิกไม่ไปเลยซะล่ะ?”
ชอย ซัง จุน เสนอความคิดเห็นของเขาอย่างรอบคอบ ไม่นานนัก รุ่นพี่ที่เพิ่งกลับเข้ามาพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
 “พวกอาจารย์กำลังสงสัยกันว่าพวกเขาควรจะจัดค่ายฝึกก่อนช่วงพักปิดเทอมดีมั้ยนะ
“....”
 “พิเศษสุดๆ มันต้องเป็นที่ซิลมิโดแน่นอน เข้าค่าย 6 คืน 7 วัน
 “ผมต้องการเข้าร่วมงานเทศกาลอย่างแน่นอน!”
พวกรุ่นพี่ก่อนหน้านี้ที่ทำเป็นไม่สนใจและพวกเด็กนักศึกษาที่เข้ามาใหม่ ต่างเสนอความคิดเห็นของพวกเขากันอย่างรวดเร็ว
 “ปัญหาก็คือ พวกเราจะทำอะไรดีล่ะ..? แน่นอนพวกเราต้องส่งตัวแทนของคณะเข้าร่วมงานแข่งกีฬาด้วย ในเมื่อคณะของพวกเรามีนักศึกษาหญิงค่อนข้างเยอะ มันจะดีมากถ้ามีคนมาช่วยกันเยอะๆ มีใครจะคัดค้านมั้ย?”
“...”
 “ดูเหมือนว่าจะไม่มีนะ งั้นทุกคนเข้าร่วมงานนี้กันหมดเลยนะ
คำพูดของประธานเป็นอันสิ้นสุด
ทนทรมานกับงานเทศกาลเล็กๆย่อมดีกว่าการไปที่ซิลมิโดเป็นร้อยเท่า
 “หลังจากที่ฉันคิดดูแล้วพวกเรามีเรื่องเร่งด่วนต้องไปร่วมงานเทศกาลดนตรีที่จัดขึ้น เพราะอาจารย์ไม่เคยพลาดงานนี้เลยสักครั้ง
 “สำหรับงานเทศกาลดนตรี ให้หาตัวแทนมา 5 ทีม จากนั้นซ้อมร้องเพลงและส่งพวกเขาเข้าประกวด
พวกเขาหาข้อสรุปและตกลงกันได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่ามันจะเป็นงานเทศกาลที่พวกนักศึกษาควรจะสนุกไปกับมัน พวกเขาก็ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เหล่าคณาจารย์ประทับใจ
สำหรับพวกนักศึกษาแล้ว แค่การเข้าร่วมงานก็กลายเป็นเรื่องที่น่าเบื่อพอสมควร แต่นี่คืองานเทศกาลของมหาวิทยาลัยเกาหลีที่มีชื่อเสียงอันโด่งดัง และภายในงานยังมีอะไรน่าดูอีกเยอะแยะไปหมด พวกเขาจึงได้แต่รอให้งานเทศกาลนั้นมาถึง
 “และฉันคิดว่าพวกเราต้องเปิดบาร์ด้วย เพราะพวกเราต้องหาเงินเพื่อใช้เป็นทุนสำหรับงานอีเว้นท์จากการเปิดบาร์ มีใครอยากจะช่วยงานที่บาร์มั้ย?” (Bar ในที่นี้ใช้เป็นเคาร์เตอร์ในร้านอาหารนะ)
ถ้าเป็นบาร์ล่ะก็ พวกเขาต้องทำอาหารตลอดทั้งคืน และยังมีอะไรอีกมากที่ต้องทำ ทุกอย่างต้องมีการคิดเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า ถึงแม้มันจะเป็นงานที่เหนื่อยเอาการ ลี ฮุนเต็มใจยกมือของเขาขึ้นมา
 “นายคือลี ฮุนใช่มั้ย? โอเค ขอบคุณ แล้วคนอื่นๆล่ะ?”
ดูจากบรรยากาศรอบข้างแล้ว พวกเฟรชชี่และรุ่นพี่ต้องเข้าร่วมภารกิจอย่างน้อยหนึ่งอย่าง
เขาตัดสินใจว่ามันจะดีกว่าถ้าได้ทำงานในบาร์ที่สะดวกสบาย
 ‘การแสดงหรืออะไรก็แล้วแต่ ต้องใช้เวลาเตรียมการนานตลอดทั้งสัปดาห์ ดังนั้นแค่การทนทรมานในช่วงเทศกาลยังดีซะกว่า
ในเมื่อบาร์เปิดตอนกลางวัน เขาก็พอมีเวลาที่จะไปทำอย่างอื่นอยู่บ้าง
แต่ว่านอกจากลี ฮุนแล้ว ไม่มีนักศึกษาคนไหนเลยที่อาสาจะยกมือของพวกเขา ไม่ว่าจะมองมุมไหน การทำงานในบาร์นั้นเป็นอะไรที่ยากแสนสาหัสและพวกเขายังคิดว่ามันเป็นอะไรที่เจ็บปวดทรมาน ดังนั้น ก็เลยไม่มีใครต้องการเข้าร่วมงานนี้
มีนักศึกษาหญิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยกมือของเธอขึ้น ทุกคนถึงกับตกใจไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น
มันเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เธอนั้นมาเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับพวกเขา แม้พวกเขาทำได้แค่เพียงมองเธอที่มหาลัยทุกวัน เธอสวยมากจนพวกเขาสงสัยว่ามันคือความฝัน หรือความจริง หรือว่ามันเป็นสรวงสวรรค์กันแน่
ซอยูนยกมือของเธอขึ้นมา
แม้กระทั่งประธานนักเรียนเองยังต้องถอยไปหนึ่งก้าว แล้วพูดอย่างสุภาพเป็นทางการ
 (ในเกาหลี การพูดอย่างเป็นทางการ และไม่เป็นทางการนั้น มีลักษณะที่ค่อนข้างเฉพาะเจาะจง)
 “แน่นอนล่ะ เธอคงไม่คิดที่จะทำงานที่บาร์ใช่มั้ย?”
ซอยูนพยักหน้าเบาๆ
จากนั้น พวกนักศึกษาผู้ชายต่างพากันยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว
 “ท่านประธาน ผมด้วย! ผมอยากทำงานที่บาร์
 “ผมยกมือขึ้นก่อนนะ ได้โปรดให้ผมทำเถอะนะ
 “น้องชาย ไม่สิ รุ่นพี่ครับ! ผมไง ดง ฮุน! รุ่นพี่จะเลือกผมใช่มั้ย? ใช่มั้ยครับ?”
 “ซัง ฮุก ฉันจะเลี้ยงเหล้านายจนกว่าพวกเราจะเรียนจบ ฉันขอแค่นายให้ฉันทำงานที่บาร์เถอะนะ ฉันจะเคารพและเชิดชู บูชานาย เหมือนผู้มีพระคุณของฉัน!”
แววตาของนักเรียนคนอื่นๆลุกโชติช่วงชัชวาล พร้อมกับตะโกนบอกว่าพวกเขาจะเข้าร่วมงานที่บาร์และรายชื่อสตาฟฟ์ที่บาร์ก็เต็มอย่างรวดเร็ว
ติดตามตอนต่อไป
จบเล่ม 14

ประติมากรแสงจันทร์ในตำนาน เล่ม 53 บทที่ 1 : มังกรดำ แปลโดย Ashy dRagoon

  ประติมากรแสงจันทร์ในตำนาน เล่ม 53 บทที่ 1 : มังกรดำ แปลโดย Ashy dRagoon สงครามที่เกิดขึ้นระหว่างอาณาจักรอาร์เพน และจักรวรรดิเฮเว่น บนท...