เล่ม 30 ตอนที่ 4: รูปปั้นหินในเมือง แปลโดย Cole’s Myth
“จับมันให้ได้ เอามันมากินซะ!”
ขวัญกำลังใจของพวกนักสู้พุ่งสูงขึ้นขณะที่วีดวิ่งหนีไป
ถ้าหากว่ามีพวกนักสู้อย่างต่ำ 4 ตนสกัดทางของเขาเอาไว้
วีดก็จะใช้ทักษะบลิ้งค์ของเขา
“เนื้อมันคงไม่เหนียวเกินไปนะ! อาหารคงรสชาติแย่แน่”
“น่าจะอร่อยนะ”
“ทางนั้นไง!”
พวกมอนสเตอร์ไล่ตามหลังวีดมาติดๆ
ทว่าสถานการณ์ตอนนี้บ่งบอกว่า เขาคงจะทนได้อีกไม่นานแน่ๆ
-ลูกธนูเหล็กปักเข้าที่สีข้างของท่าน
|
วีดได้รับบาดเจ็บจากลูกธนูและหอกอย่างต่อเนื่องขณะที่กำลังพยายามหนี
เขาไม่ได้สวมใส่ชุดเกราะอะไรเลยในร่างนักรบแห่งความโกลาหลนี้ จึงทำให้พลังชีวิตดิ่งลงเหวเรื่อยๆและผ้าพันแผลก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้
แม้เขาจะพยายามวิ่งเลียบไปตามผนังด้วยความเร็วสูงสุด แต่ตอนนี้ค่าพลังชีวิตของเขาก็ลดต่ำลงเหลือแค่
10% แล้ว
มันเป็นเรื่องที่ดีหากจะรั้งค่าพลังชีวิตต่ำๆเอาไว้ในการออกล่าที่มั่นคง
ทว่าตอนนี้มันกลับตาลปัตรกลายเป็นสถานการณ์ที่อันตรายสุดๆ
“ฉันต้องหลบมันให้ได้!”
เขากะระยะทางระหว่างเขาและพวกซัลเลียนที่ไล่ตามเขามา
และเริ่มใช้งานทักษะ
“บลิงค์!”
เขาเทเลพอร์ทเข้าไปในห้องที่เขาเคยผ่านมาแล้ว
จากนั้นก็เข้าไปซ่อนที่มุมห้องแล้วรอให้พวกนักสู้ซัลเลียนผ่านไป
“มันไปทางนั้น”
“นั่นมันทางที่หัวหน้าเราอยู่นิ
ไม่ว่ายังไงก็ต้องหยุดมันให้ได้”
วีดรอจนกระทั่งเขาไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า
“โชคดีจริงๆแหะเรา ยังไงก็รอดมาได้ละนะ”
เขารุ้สึกได้ว่าเขาได้เข้ามาในที่ที่ลึกมากขึ้นแล้ว
เขาดึงลูกธนูเหล็กที่ทิ่มอยู่บนร่างของเขาออกแล้วก็ทาสมุนไพรลงบนแผล
-สมุนไพรโดนเผา ผลเอฟเฟสามารถใช้ได้เพียงแค่
37% เท่านั้น
|
“สมุนไพรอันล้ำค่าของฉัน ถ้าเอาไปขายจะได้มากแค่ไหนกันนะ...?”
หลังจากการรักษาแบบลวกๆแล้ว ดาบดาวสีชาดของเขาก็ฟื้นฟูพลังชีวิตกับมานาให้เขาคืนมาอย่างรวดเร็ว
พลังชีวิตของเขาเหลือแค่ 23% ส่วนมานาก็เหลือ 31% เมื่อตอนที่เขาเดินออกมาจากมุมห้องนั้น
“ขอแอบดูหน่อยละกัน”
ตึกตัก ตึกตัก
“มันต้องออกไปจากที่นี่แล้วแน่ๆเลย”
“ข้าจะไปทางนั้น!”
ตามสัญชาตญาณ วีดจะเข้าไปซ่อนที่มุมห้องอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหรือว่าเสียงร้องของพวกซัลเลียน
“ฉันต้องคืนพลังชีวิตให้ได้สักครึ่งซะก่อน”
วีดมองดูดาบดาวสีชาดของเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ดาบนี้ได้อย่างดี
มันเป็นเหมือนดาบของเทพเจ้าที่มีสลักเวทย์ซับซ้อนแกะเอาไว้บนตัวดาบ
เวทย์โจมตีที่แข็งแกร่งก็ถูกผนึกเอาไว้ข้างใน
“ฉันคงปล่อยพลังดาบได้มากกว่านี้แน่ถ้าต่อไปภายภาคหน้าเลเวลของฉันเพิ่มมากขึ้น....”
วีดแสดงความหิวกระหายในตัวดาบ
ใครก็ตามที่ได้เห็น ดาบดาวสีชาดนี้ ต่างก็ชื่นชมมัน คุณสมบัติเพลิงที่ช่วยเพิ่มพลังในการต่อสู้หลายครั้งหลายครา
ถ้าหากว่าดาบเล่มนี้มีผลข้างเคียงน้อยกว่านี้ละก็เขาคงเอามันไปใช้สู้กับมังกรแล้ว
“ต้องให้วางใจมากกว่านี้ก่อน
อย่าให้โดนจับได้ ฉันต้องเคลื่อนที่ไปอย่างเงียบเชียบ”
วีดตัดสินใจออกไปตรงทางเดินหลังจากที่ค่าพลังชีวิตของเขาเพิ่มมาถึง
46%
แล้ว เขาต้องเดินหน้าต่อแม้ว่ามันจะอันตรายเพราะว่า เวลาเป็นเงินเป็นทอง
“ถ้างั้นคงต้องใช้แผนถัดไปแล้วสินะ”
วีดหยิบประติมากรรมออกมา มันคือประติมากรรมนักสู้ซัลเลียนยอดฝีมือที่เขาแกะไว้ก่อนหน้านี้!
รูปร่างงองุ้มสูงโปร่งที่ดูดีใช้ได้เลยทีเดียว
“ประติมากรรมจำแลง!”
ร่างกายของวีดเปลี่ยนจากนักรบโกลาหลเป็นนักสู้ซัลเลียนยอดฝีมือ
ดาบดาวสีชาดถูกปลดออก จากนั้นเขาก็สะพายคันธนูที่เขาได้มาจากการลูท แล้วก็เดินออกไปตรงทางเดินเพื่อร่วมเดินไปกับนักสู้ตัวอื่นด้วยการทำตัวเป็นธรรมชาติ
พวกมันมองดูวีดด้วยสายตาแปลกๆแล้วก็พิจารณาเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
‘หรือว่าฉันโดนจับได้แล้วงั้นหรอ?
ที่จริง..ลองมาคิดดูแล้ว ทักษะประติมากรรมจำแลงนี่ไม่ได้เปลี่ยนกลิ่นไปด้วยนี่นา’
ทักษะประติมากรรมจำแลงนั้นไม่ใช่การแปรเปลี่ยนโดยสมบูรณ์
มีเหตุผลมากมายที่ว่าทำไมคนถึงโดนจับได้หรือโดนมองออกได้
และมันจึงกลายเป็นเรื่องยากที่จะหลอกสายพันธุ์ที่มีประสาทสัมผัสกลิ่นที่เฉียบคม
แต่ว่าโชคดีที่พวกซัลเลียนนี้ไม่มีรูจมูกเพราะงั้นพวกมันจึงไม่สามารถรับกลิ่นได้
นักสู้ยอดฝีมือตัวหนึ่งถามขึ้นมา
“ดูเหมือนเจ้าจะบาดเจ็บนะ
ไปได้แผลนั่นมาจากไหนละ?”
วีดพยักหน้ารับและตอบออกไป
“ข้าไปสู้กับผู้บุกรุกมา”
“ที่ไหน? พวกเราทุกคนมองหาตัวมันจนเป็นบ้าเป็นหลังอยู่หนิ”
“ข้ากินมันเข้าไปแล้ว”
“มีเหลือหน่อยไหม?”
“ไม่เลย รสชาติมันห่วยแตกชะมัด
อีกอย่าง...”
วีดต่อบทสนทนาไปเรื่อยๆจนพวกนักสู้ไม่ได้สงสัยอะไรในตัวเขาแล้ว
เท้าที่เป็นผังพืดส่งเสียงเอี้ยดปะทะกับพื้นดินแถมยังมีเกล็ดหุ้มทั่วทั้งร่าง
เขาเรียนรู้ที่จะเลียนแบบลักษณะเฉพาะและท่าทางพิเศษของสายพันธุ์นี้ที่มีหลายอย่างคล้ายกับตอนที่เขาแปลงกายเป็นออร์คคาริชวิ
เขาไม่มีความรู้สึกไม่สบายใจหรือว่ารู้สึกผิดเลยกับการโกหกหรือว่าการเล่นเล่ห์ครั้งนี้
นิสัยมาตรฐานของวีดแบบนี้ก็เพียงพอมากแล้วที่เอาไปสอนภายในมหา’ลัย
“เจ้านั่นมันมาที่นี่เพื่อช่วยทาสที่เรียกว่า
อาร์นิน ดังนั้นผู้บุกรุกคนอื่นๆอาจจะมากันอีกก็ได้”
“อ๋อ ไอ้พวกนั้นหรอ? ถ้างั้นเราก็ต้องปกป้องห้องขังสินะ งั้นไปเร็วเถอะ”
พวกนักสู้ยอดฝีมือเดินลงไปตามทางเดินและเดินเลี้ยวไปแยกทางขวา
วีดเดินตามไปพร้อมดึงหอกที่ปักอยู่บนพื้นออกมา
“ข้าก็จะไปด้วยเหมือนกัน”
“เจ้าไปพักเถอะ ที่นั่นมีตั้ง 10
ตนแล้ว”
“ข้ายังสู้ไหว
แถมข้ายังอยากกินพวกผู้บุกรุกมากกว่านี้ด้วย”
“ถ้างั้นก็ไปกันเถอะ”
วีดมีพวกนักสู้ซัลเลียนเดินนำแล้วก็ไปถึงห้องขังของพวกอาร์นิน
พวกเขาเดินลงไปสามชั้นจากห้องที่ที่วีดเคยซ่อนตัวอยู่
ห้องขังที่พวกอาร์นินติดอยู่นั้นค่อนข้างใหญ่
มีนักสู้ยอดฝีมือถึง 10 ตนยืนเฝ้าอยู่แถมยังมีวีดมาร่วมแจมเพิ่มอีกคนด้วย
‘ที่นี่ก็มีอีกกลุ่มงั้นหรอ
ถ้ามีแค่ 1 หรือ 2 ตัวละก็’
วีดต้องตัดสินใจแล้ว
ตอนนี้เขารู้ตำหน่งห้องขังแล้ว เขาอาจจะกลับมาใหม่หรือว่าใช้โอกาสครั้งนี้ไปเลย
เขาต้องรีบจัดการก่อนที่ความวุ่นวายด้านนอกจะจบลงซะก่อน
‘การเข้ามาได้ถึงที่นี่พร้อมกับพวกประติมากรรมสลักชีพคงไม่ยากนัก
แต่ว่าคงยากที่จะหนีออกไปพร้อมกับพวกอาร์นิน’
วีดเริ่มประเดิมการต่อสู้ก่อนเลย
“เรียกขาน เดทไนท์แวนฮอร์ค
เรียกขานลอร์ดแวมไพร์ โทริ”
มีหมอกทะมึนปรากฏขึ้นขณะที่พวกแวนฮอร์คและโทริปรากฏตัวออกมา
“นายท่าน สู้สินะครับ”
“ข้าไม่อยากดื่มเลือดพวกสัตว์เลื้อยคลาน...นี่ท่านลืมเชื้อสายชนชั้นสูงของข้าแล้วหรือ?
ถ้าสาวสวยๆก็ว่าไปอย่าง”
แวนฮอร์คดึงดาบออกมาอย่างเชื่อฟังแต่ในขณะที่เจ้าโทริมองไปรอบๆพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียดคิ้วขมวด
“ออกไปสู้เร็วเข้า! พวกมันไม่ใช่อาหารหรอกน่า”
เดทไนท์และแวมไพร์ลอร์ดพุ่งเข้าไปโจมตีพวกนักสู้ในทันที
“ไอ้คนทรยศ!”
วีดโยนหอกของเขาทิ้งไปแล้วเหวี่ยงดาบแห่งแดม่อนเข้าใส่นักสู้ซัลเลียนสองตน
ทว่าก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะปิดฉากพวกมันได้ด้วยการโจมตีที่หนักหน่วงเพียงครั้งเดียว
พวกนักสู้ยอดฝีมือพวกนั้นมีเลเวลที่มากพอควร
นอกจากนี้ผิวหนังของพวกมันก็มีคุณสมบัติพิเศษเพราะงั้นการโจมตีธรรมดาจึงไร้ผล
แม้ว่าแขนขาพวกมันจะบอบบาง แต่หอกของพวกมันก็มีพลังโจมตีและระยะการโจมตีที่น่าตกใจ
นักสู้ยอดฝีมือทั้ง 11 ตนนั้นคงถือว่ายากสำหรับวีดและสมุนอีกสองตน
“แวนฮอร์ค
อย่ามัวเสียเวลา ลุยกับพวกมันเลย ส่วนโทริแกกลับไปอยู่ทางด้านหลัง!”
แวนฮอร์คต่อสู้อย่างบ้าคลั่งขณะที่พยายามสกัดลูกธนูและหอกด้วยดาบของมัน
เจ้าเดทไนท์นี่ฝีมือไม่ตกลงเลยแม้แต่น้อย
ดาบแห่งความมืดที่วีดสร้างให้เองก็ปลดปล่อยออร่าแห่งความมืดออกมาด้วย
โทริถอยไปอยู่แนวหลังและคอยใช้เวทย์คำสาปและทักษะแวมไพร์อื่นๆ!
“เฮือก นั่นมันแวมไพร์เลือดบริสุทธิ์แห่งรัตติกาลนิ”
“อย่ามองไปที่ดวงตาสีแดงของมัน”
เหล่าซัลเลียนต่างรู้สึกขวัญผวาหวาดกลัวโทริโดยสัญชาตญาณของพวกมัน
สติและสมาธิของพวกมันนั้นค่อนข้างต่ำ พวกมันจึงตกอยู่ภายใต้เวทย์ล้างสมองของเขาได้อย่าง่ายดาย
โทริได้แสดงพลังอำนาจที่เหมาะกับฐานะมอนสเตอร์ระดับสูงเป็นอย่างมาก วีดเดินไปอีกฝั่งและเล็งโจมตีมอนสเตอร์ตัวหนึ่งจากทางด้านขวา
“เพลงดาบประกายแสง”
นกกระจอกแสง 5 ตัวปรากฏออกมาจากดาบแห่งแดม่อนและพุ่งเข้าใส่นักสู้ตนนั้น
มันคือนักสู้ที่พาวีดมาที่นี่นั่นเอง
“อึก
คนที่ข้าคิดว่าเป็นพวกพ้อง...”
“ชีวิตมันก็คือซีรี่ย์ของคนทรยศนั่นแหละ
นั่นแหละถึงจะเรียกว่าการเป็นผู้ใหญ่”
“ไอ้ชาติชั่ว!”
“เดี๋ยวนี้ค่าน้ำแพงนะ
งั้นอาบน้ำสัปดาห์ละครั้งละกัน”
นักสู้ที่วีดพามาได้ตายลง!
“เพลงดาบแยกร่าง!”
หลังจากนั้นเขาก็เปิดการใช้งานทักษะดาบแยกร่าง
เป้าหมายเพียงอย่างเดียวของทักษะนี้ก็คือเพื่อหลอกล่อให้มองไปที่ร่างปลอม
“เล็งไปที่การโจมตีเป็นหลัก!”
วีด แวนฮอร์ค และโทริเริ่มออกล่าขณะที่ร่างแยกของเขาหลอกล่อพวกมัน
การเคลื่อนไหวของพวกเขาเปลี่ยนไปเพื่อเล็งไปที่เป้าหมายโดยมุ่งหวังการสังหาร
“อย่าให้พวกมันตั้งหลักได้
จัดการพวกมันให้หมด!”
ค่าพลังชีวิตของวีดและแวนฮอร์คลดลงไปอย่างมาก
แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็สามารถต่อสู้กับพวกนักสุ้ 7 ตนที่เหลือได้ง่ายมากขึ้น โทริสูบเลือดพวกมันเพื่อฟื้นคืนค่าพลังชีวิตของตัวเองแล้วเริ่มโจมตีใส่ศัตรูในทันที
ในขณะเดียวกันวีดและแวนฮอร์คก็จัดการไปได้อีก
2 ตนแล้ว นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่จะสามารถกักตุนมานาเอาไว้ได้มากนัก
ยังมีศัตรูเหลืออีก 3 ตน ทว่าเขาก็ยังไม่รู้ว่ากองหนุนจะมาถึงกันเมื่อไร
หลังจากที่การต่อสู้จบลงในที่สุด
เขาก็หอบอย่างหนักขณะที่คิดคำนวณอยู่
“ไม่ง่ายเลยแหะ”
แวนฮอร์คล้มลงไปแล้วขณะที่โทริหน้าดูซีดกว่าเดิม
นั่นก็เพราะว่ารสชาติของเลือดนั้นไม่เหมาะกับเขาเลยแม้แต่น้อย
ค่าพลังชีวิตของวีดตกลงเหลือ 7%
“อย่างที่คาดเลย
นี่คงเป็นเพราะดาบแห่งความมืดและแหวนแวมไพร์จอมลวงที่ข้าสร้างให้แน่ๆ”
“…..”
เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต
เขาต้องทำให้พวกมันทำงานอย่างหนัก! วีดหยิบไอเท็มที่หล่นออกมาจากพวกนักสู้
เขาไม่ยอมพลาดไปสักชิ้นเพราะพวกมันอาจจะเป็นไอเท็มสำคัญก็ได้
-ท่านได้รับกุญแจไขสู่คุกจองจำใต้ดิน
กุญแจดอกนี้นั้นสามารถใช้เปิดประตูที่ล็อกได้ในทันที
|
กริ๊ก!
และในที่สุดเขาก็ได้เจอพวกอาร์นิน
สายพันธุ์ประติมากรรมสลักชีพที่สร้างขึ้นมาด้วยน้ำมือจักรพรรดิเกฮา วอน อาเพน
นี่คือช่วงเวลาที่น่ายินดีอย่างยิ่ง!
“ข้ามผ่านปัญหาอุปสรรคมานานัปการ
เพราะงั้นฉันต้องทำให้พวกมันทำงานไปตลอดชีวิตให้ได้”
★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★
ชิน ฮเยมินรู้สึกเศร้าใจอย่างมาก
“โห การโจมตีป้อมปราการทับคาลนั้นน่าทึ่งจริงๆ
แถมก่อนหน้าก็มีการต่อสู้ที่หุบเขาหินนั่นอีกค่ะ”
โอจูวานรับฟังคำพูดของเธอและเอ่ยขึ้นต่อว่า
“เป็นการต่อสู้ที่น่าทึ่งจริงๆครับ
ดูการล้อมโจมตีที่ฉายอยู่บนฉากนั้นสิครับวิเศษมากจริงๆ”
ชิน ฮเยมินเป็นแรนเจอร์
ดังนั้นเธอจึงคิดว่ามันจะสนุกขนาดไหนกันถ้าเธอได้ไปอยู่ตรงนั้น
พวกประติมากรรมสลักชีพส่งเสียงร้องคำรามลั่นสนันขณะที่ต่อสู้ พวกซัลเลียนเองก็พยายามตอบโต้กลับเพื่อปกป้องบ้านของพวกมัน
พวกประติมากรรมสลักชีพก็แสดงทักษะออกไปมากมาย
ในขณะที่พวกนักสู้เองก็ได้เปรียบทางภูมิประเทศที่คอยตั้งรับปกป้องป้อมปราการอย่างดุเดือด
ช่างเป็นฉากที่ยิ่งใหญ่และตื่นตาตื่นใจมากจริงๆ
“วีดเขายังไม่ได้พักมากพอเลยนิครับ
แถมยังรีบพรวดพราดเข้าไปอีก คุณชินฮเยมินคิดว่ายังไงหรอครับ?”
“แผนการของวีดนั้นเหนือความคาดหมายเสมอค่ะ”
“แต่ว่าการต่อสู้นี้ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาหวังไว้นะครับ”
“ใช่ค่ะ ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น แม้ว่าจะมีการสังเวยชีวิตไปมากที่หุบเขาหิน
แต่ก็ยังเหลือพวกนักสู้ซัลเลียนอีกตั้งมากมาย
สถานการณ์ในตอนนี้ดูท่าว่าจะไม่มีทางทำให้พวกที่อยู่ในป้อมปราการยอมจำนนได้เลยค่ะ”
“งั้นเราควรสรุปได้ว่าการโจมตีครั้งนี้ล้มเหลวสินะครับ
และสถานการณ์ของวีดในวันพรุ่งนี้หรือว่าวันมะรืนก็คงมีแต่จะแย่ลง”
เหล่าประติมากรรมสลักชีพยอมแพ้ที่จะปีนขึ้นไปบนกำแพง
ขณะที่เพลและพวกพ้องคนอื่นๆก็เปลี่ยนมาตั้งรับการโจมตี
พวกเขาโดนกดดันให้ล่าถอยออกมาจากกองหนุนที่ไม่มีวันจบสิ้นจากภายในโพรงทั้งหลายที่เป็นช่องเข้าไปในป้อมปราการ
“คุณวีดคงต้องหากองกำลังมาเพิ่มเพื่อมาสู้ใหม่แล้วละ”
การคาดการณ์ต่างๆจากบทพูดเอ่ยถึงแต่การล่าถอยหรือเพิกถอนกองทัพของวีด
แต่มันก็อันตรายมากจริงๆหากยืดเยื้อเวลาให้นานไป แม้ว่าพวกฟีนิกซ์และปิงหลงจะมีเลเวลสูง
แต่ก็มีพวกซัลเลียนจำนวนมากเกินไป พวกมันโผล่ออกมาจากโพรงตัวแล้วตัวเล่าเพื่อมาโจมตีใส่พวกเขา
★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★
เมื่อเขาเปิดประตูออก อาร์นินจำนวนมากมายก็กำลังนอนหลับอยู่บนพื้น
พวกมันคือประติมากรรมสลักชีพที่ใช้ชีวิตเยี่ยงทาส
“เจ้าเป็นใคร?”
พวกอาร์นินตื่นขึ้นแล้วมองไปที่วีด
“ข้าคือ….”
วีดประเมินความแข็งแกร่งด้วยตาทั้งสองข้างของเขา
เขาพยายามที่จะกดน้ำตาแห่งความดีใจเอาไว้ ทว่ารอยยิ้มอันชั่วร้ายกลับย้อนแย้งเปื้อนลงบนใบหน้าของเขาทันใด
เขาได้ยินสถานการณ์ทางด้านนอกผ่านทางการกระซิบของไอรีน ดังนั้นเขาจึงพูดออกไปตรงๆ
“สหายของเจ้า
เอลลิออนได้ขอความช่วยเหลือจากข้าเพื่อมาช่วยพวกเจ้าออกไปจากที่นี่”
“จริงหรอ?”
พวกอาร์นินลุกขึ้น
แม้ว่าพวกมันจะพากันลุกขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังตัวเล็กเสียกว่าพวกคนแคระซะอีก
-ภารกิจ: มิตรสหายของเหล่าเอลลิออน
ท่านได้พบกับเหล่าอาร์นินแล้ว
ช่วยพาพวกเขาออกไปจากยอดเขาทับคาลให้ได้อย่างปลอดภัย
ความสามารถในการขยายเผ่าพันธุ์ของพวกอาร์นินได้ถูกระงับเอาไว้จนกว่าพวกมันจะเป็นอิสระ
จำนวนที่มีชีวิตเหลือรอดสูงสุดในตอนนี้
342 ตน
ท่านต้องช่วยพวกอาร์นินให้มีชีวิตรอดกลับไปหาเหล่าเอลลิออนด้วยจำนวนมากที่สุด
หากว่ามีเพียง
10 กว่าตนที่เหลือรอดกลับไปได้เหล่าเอลลิออนก็จะเข้าใจได้ว่ามันคือภารกิจที่ยากเกินไป
|
บัดนี้ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือออกไปจากที่นี่
วีดพันผ้าพันแผลรอบตัวเขาและถามพวกมันเพื่อขอความช่วยเหลือ
“พวกเจ้าต่อสู้ได้ไหม?”
เขาเตรียมหอกมามากมายเพื่อที่จะเอาให้พวกอาร์นิน
“พวกเราไม่รู้วิธีต่อสู้หรอก”
“ถ้างั้นอย่างน้อยพวกนายก็น่าจะรู้วิธีถือดาบบ้าง ใช่ไหม? ลองคิดดูสิ”
“เราไม่รู้เลย”
“ขอแค่เวทย์มนต์หรือเวทย์จิตวิญญาณก็ยังดี”
“พวกเราไม่รู้วิธีใช้มันหรอก”
มันไม่ต่างอะไรกับพาเด็กน้อย
342 คนที่ไม่รู้จักวิธีต่อสู้เดินเข้าสู่สนามรบ
“เดาว่ายังไงฉันก็ต้องทำมันสินะ”
วีดเปลี่ยนร่างกลับไปเป็นนักรบโกลาหลคูบิยะ
มันจำเป็นที่เขาจะต้องเปลี่ยนร่างของเขาให้เหมาะกับการต่อสู้ ดาบดาวสีชาดถูกสวมใส่อีกครั้ง
“ตามมาให้ทันละ ระวังอย่าให้โดนทิ้งห่าง”
ในขณะที่เขากำลังออกไป
ก็มีอาร์นินตนหนึ่งเอ่ยขึ้นมาว่า
“ขอโทษนะครับ สัตว์เลี้ยงของพวกเราก็อยู่ที่นี่ด้วยนะครับ
ข้าไม่อยากจากไปโดยไม่มีพวกเขา”
“ได้โปรดพาสัตว์เลี้ยงพวกเรากลับไปด้วยเถอะ”
“เราคอยดูแลและให้อาหารพวกมันทุกวัน เราอยู่ไม่ได้หรอกถ้าไม่มีพวกมัน”
ตริ้ง!
-ภารกิจ: สหายของเหล่าเอลลิออน
เหล่าอาร์นินปรารถนาที่จะพาสัตว์เลี้ยงที่พวกเขาเลี้ยงมาหลบหนีไปด้วยกัน
หากท่านบังคับให้พวกเขาไป
คงก่อให้เกิดปัญหามากมายตามมาแน่
หากท่านช่วยเหลือเหล่าสัตว์เลี้ยง
พวกเขาจะขอบคุณท่านอย่างสุดซึ้ง
|
วีดถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ชาติที่แล้วฉันขายชาติหรือไงวะเนี่ย...”
เขาไม่รู้ว่าทำไมชีวิตของเขาถึงได้ยุ่งเหยิงขนาดนี้
ถึงยังไงเขาก็ต้องทำภารกิจช่วยเหลือพวกอาร์นินให้ได้อยู่ดี วีดเลียริมฝีปากของเขา
“ฉันจะไปช่วยพวกมันทีหลังนะ ไปกับฉันก่อนเถอะ”
“จริงหรอครับ?”
“ใช่แล้ว แน่นอน”
ปกติแล้ววีดก็คงไม่ได้มีความตั้งใจที่จะกลับมาช่วยพวกมันหรอก
นี่เป็นสถานที่ออกล่าที่ยอดเยี่ยมทีเดียว
ทว่าคนอื่นๆคงลำบากใจที่จะกลับมาสู้กับพวกซัลเลียนอีกแน่
“ไม่มีทางหรอก ถ้าพวกเราหนีไปกับเจ้า
พวกซัลเลียนได้จับพวกเขาไปกินแน่”
“พวกเราจะไม่ไปโดยไม่มีพวกเขา”
โชคไม่ดีที่คำโกหกแบบนั้นไม่ได้ผล
“มันจะอันตรายมากเลยนะ แค่พวกนายออกไปจากที่นี่
แค่กำลังฉันก็ถือว่ายากแล้ว พวกนายต้องมีชีวิตอยู่นะ
เพื่อนๆเอลลิออนของพวกนายกำลังรออยู่ที่โมราต้า”
“ก็ข้าอยากจะเลี้ยงสัตว์นิ
ข้ายินดีที่กลับไปหลังจากช่วยพวกเขาได้แล้ว”
แค่มาที่นี่ก็ถือว่ายากพอแล้ว....ระดับความยากของภารกิจระดับนี้นั้นถือว่ายากมากเกินไปแล้วจริงๆ
‘ถึงยังไงฉันจะมายอมแพ้ที่นี่ไม่ได้.....’
มาตรฐานของบรรดาผู้เล่นทางเหนือนั้นถือว่าสูง
เพราะงั้นต่อไปคงมีผู้เล่นมากมายมาออกล่าภายในเทือกเขาฮาร์เซลแห่งนี้แน่
ทว่าผู้เล่นที่มีระดับพอที่จะออกล่าได้นั้นยังถือว่าน้อยมาก เพราะงั้นการออกล่าในดันเจี้ยนที่ปลอดภัยหรือว่าพื้นที่ออกล่าทั่วไปนั้นจะให้ผลได้ดีมากกว่า
ความข่มขื่นได้ลุกลามไปยังผู้เล่นคนอื่นๆ!
ภารกิจนี้ยากมาก
เพราะแม้แต่วีดเองก็ยังไม่สามารถต่อกรกับพวกซัลเลียนที่แพร่พันธุ์ออกมาแบบต่อเนื่องแบบนี้ได้
‘ฉันออกไปไม่ได้
แถมยังทำให้พวกประติมากรรมสลักชีพแข็งแกร่งขึ้นไม่ได้ด้วย....แบบนั้นคงใช้เวลามากเกินไป’
พวกมอนสเตอร์ไม่ได้โง่พวกมันคงรู้จักที่จะเติบโตและแข็งแกร่งขึ้นเหมือนกับพวกผู้เล่น
จำนวนของพวกมันก็คงเพิ่มมากขึ้นและการป้องกันของป้อมปราการก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก
‘ถ้าฉันบังคับให้พวกมัน 10 ตัวกลับไปโมราต้าหล่ะ....’
นั่นคือความคิดของเขาเพื่อที่จะได้ทำภารกิจให้สำเร็จ
แต่การบังคับให้พวกมัน 10 ออกไปแล้วก็ต่อสู้ไปด้วยมันคง.....
“ก็ได้ ฉันจะช่วยเหลือสัตว์เลี้ยงของพวกนาย!”
ช่างเป็นแผนการที่น่าสิ้นหวังอย่างยิ่ง!
ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด
วีดก็คงแอบหนีไปคนเดียวแล้วหาโอกาสต่อไป หรือว่าแอบลักพาตัวพวกอาร์นินบางตัวไป
หากเขาบังคับให้พวกมันกลับไป ภารกิจคงไม่สำเร็จง่ายๆแน่
แล้วค่าชื่อเสียงที่สูงของเขาก็คงตกลงไป
ค่าความสนิทสนมเองก็คงลดลง
แล้วเขาก็คงใช้ให้พวกมันทำงานให้กับราชอาณาจักอาเพนไม่ได้
ทว่ายิ่งเขาลังเลซักแค่ไหน อันตรายก็จะยิ่งตกลงไปที่พวกประติมากรรมสลักชีพอยู่ดี
“ขอบคุณท่านมาก”
“แล้วสัตว์เลี้ยงของพวกนายอยู่ไหนหล่ะ?”
“อยู่ใกล้ๆนี่แหละ เราจะพาท่านไปเอง”
วีดถูกพาไปพร้อมกับพวกแวนฮอร์คและโทริ
พวกเขาฆ่าพวกนักสู้ซัลเลียนทุกตนก่อนที่พวกมันจะได้เรียกกองหนุนมาซะอีก
พวกเพื่อนของเขาอาจจะแพ้ไปตอนไหนก็ได้เพราะงั้นเขาเลยวางใจไม่ได้
จากนั้นก็มีอาร์นินตนหนึ่งเอ่ยออกมาว่า
“ปกติแล้วเจ้าพวกนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นหรอกนะครับ”
พวกนักสู้ใต้ดินนั้นมัวแต่ขึ้นไปต่อสู้ด้านบนจนหมด
“พวกเขาอยู่ตรงมุมนั้นแหละครับ”
มีพวกนักสู้ซัลเลียนเฝ้ายามอยู่ 4
ตนตรงทางเข้า วีดตรวจสอบสภาพร่างกายของเขาและหายใจเข้าลึก
“แวนฮอร์ค จัดการพวกมัน 3 ตัว โทริจะจัดการ 1
ตัวแล้วค่อยตามไปช่วยแก”
“รับทราบ นายท่าน”
แวนฮอร์คและโทริเริ่มการออกล่าในทันที
ตอนนี้มีศัตรูแค่ 4 ตัว แถมเขายังใช้ดาบดาวสีชาดด้วย มันจึงไม่ยากเย็นอะไรที่จะจัดการพวกนักสู้ยอดฝีมือแล้วชิงเอากุญแจมาเปิดประตู
ดวงตาของวีดเบิกโพลง
“พวกนี้มัน.......”
★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★
การต่อสู้ ณ ยอดเขาทับคาล
ค่าพลังชีวิตและมานาของเพลแทบจะถึงขีดจำกัดแล้ว
พวกประติมากรรมสลักชีพก็ยังสู้ได้ทว่าพวกมันต่างก็รู้สึกเหนื่อยจากพวกนักสู้ที่มากันไม่จบไม่สิ้น
พวกมันถูกข่มขู่จากพวกประติมากรรมสลักสลักชีพที่บินได้และพวกราชาไฮดร้า
เพราะงั้นพวกซัลเลียนถึงได้ไม่กล้าเข้ามาจู่โจม แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในสภาพที่เหนื่อยล้า
ฮวารยองและเบลล็อตก็ยังหลอกล่อความสนใจของศัตรูต่อไปเรื่อยๆด้วยการบรรเลงเพลงและร่ายรำ
เพลดึงลูกธนูออกมาจากกระบอกใส่แล้วตะโกนออกไปว่า
“ยังไม่มีข่าวจากคุณวีดเลยหรอ?”
เขายิงใส่กลางหน้าผากของนักสู้ได้อย่างแม่นยำ! เขาไม่รู้ว่าเพราะพวกมันปกป้องป้อมปราการได้ดีหรือว่าพวกเขาสร้างความเสียหายไม่มากพอ
แถมพวกนักสู้ซัลเลียนก็ต่อสู้ได้อย่างชาญฉลาดมากด้วย
บางทีนั่นอาจจะทำให้มันยิ่งน่ากลัวมากเข้าไปใหญ่
พวกซัลเลียนล้อมเหยื่อที่แข็งแกร่งของมันอย่างรอบคอบเพื่อที่จะรวมกำลังพลของพวกมันแล้วพร้อมกำจัดพวกเขาในคราเดียว
ไอรีนที่กำลังฟื้นค่าพลังชีวิตให้พวกประติมากรรมสลักชีพอยู่ก็ตอบกลับไปว่า
“รอแปบนึงนะคะ”
“เราต้องถอยแล้วนะ บอกเขาว่าได้เวลาต้องไปแล้ว”
“เขาบอกว่าถ้าเรารออีกหน่อย เราก็ได้ออกไปแล้วค่ะ”
“หมายความว่าไง....?”
และทันใดนั้นเอง
กริฟฟินหลายสิบตัวบินออกมาจากป้อมปราการของพวกซัลเลียนที่อยู่บนยอดเขาทับคาล
แถมยังมีเสือเขี้ยวโค้งจำนวนมากมายวิ่งกรูกันออกมาจากประตูที่เปิดอ้าอยู่
ส่วนพวกอาร์นินก็นั่งอยู่บนหัวของพวกเสือเขี้ยวโค้งพวกนั้น
พวกซัลเลียนนั้นจะไม่เลี้ยงสัตว์ที่เชื่องๆอย่างกระต่าย
แกะ หมู ไก่ หรือว่าวัวควาย มันจะเลี้ยงพวกกริฟฟินและเสือเขี้ยวโค้งเพื่อเอาไว้เป็นอาหาร
แถมยังเลี้ยงเอาไว้เป็นยานพาหนะด้วยเช่นกัน
ถ้าหากมีเวลามากกว่านี้
พวกมันคงทรงพลังมากขึ้นและพากันขยายอำนาจออกไปนอกเทือกเขาฮาร์เซลแล้ว
ปัญหาปวดหัวมากมายถูกคลี่คลายได้ในทันทีที่วีดเจอเข้ากับพวกกริฟฟินและเสือเขี้ยวโค้ง
เพียงแค่ตบปากรับคำทำภารกิจของพวกอาร์นิน เขาก็ยิงปืนนัดเดียวแล้วได้นกตั้งสองตัว
จากนั้นพวกกริฟฟินและพวกเสือเขี้ยวโค้งก็โจมตีใส่พวกนักสู้ซัลเลียนตามคำขอของพวกอาร์นิน
“อึก เจ้านั่นมันออกมาข้างนอกแล้ว!”
“เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่แล้วสิ”
พวกซัลเลียนมัวแต่ป้องกันป้อมปราการของพวกมันอยู่
จนไม่สามารถหยุดพวกกริฟฟินและเสือเขี้ยวโค้งที่กำลังหนีเอาไว้ได้แล้ว
“เล็งไปที่พวกมือยิงแล้วเปิดทางไว้ให้พวกเสือเขี้ยวโค้ง!”
จากคำสั่งของวีด
ทั้งปาร์ตี้ก็กลับออกมาจากยอดเขาทับคาลได้อย่างปลอดภัย! พวกซัลเลียนที่ต่างได้รับบาดเจ็บไม่สามารถไล่ตามพวกเขาให้ทันได้!
ตริ้ง!
-การต่อสู้กับเหล่าซัลเลียน ณ
ยอดเขาทับคาลจบลงด้วยผลเสมอกัน
พวกซัลเลียนคือผู้ปกครองเทือกเขาฮาร์เซล
หากท่านพิชิตป้อมปราการของพวกมันได้
ท่านจะสามารถปกครองทั่วทั้งเขตเทือกเขานี้ได้
ทว่าช่างน่าอัศจรรย์ที่ท่านสามารถหลบหนีออกมาได้โดยไม่มีการสังเวยชีวิต
เหล่าซัลเลียนที่ต่างเจ็บปวดจากความเสียหายร้ายแรงครั้งนี้จะคัดเลือก
แม่ทัพ และสร้างปราการให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในการต่อสู้ครั้งหน้า
|
ท่านได้รับค่าชื่อเสียงจากผลงานในการต่อสู้ครั้งนี้
|
วีดพาพวกประติมากรรมสลักชีพกลับไปที่เมืองโมราต้าพร้อมกับพวกพ้องของเขา
ส่วนพวกกริฟฟินและเสือเขี้ยวโค้งก็ลงหลักปักฐานอยู่ในพื้นที่ทางตอนใต้และตะวันออกของเทือกเขาฮาร์เซล
พวกมันจะคอยเป็นหูเป็นตาระวังภัยจากพวกซัลเลียน
★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★
“....กลับมาได้อย่างปลอดภัยสินะ”
-ขอบคุณท่านมาก
ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้พบเพื่อนๆของพวกเราอีก
ตริ้ง!
-ภารกิจ:
ผองเพื่อนของเหล่าเอลลิออน ประสบความสำเร็จแล้ว
ประติมากรวีดได้ช่วยเหลือเหล่าอาร์นินที่ถูกบังคับให้ไปเป็นแรงงานของพวกซัลเลียน
-สายพันธุ์ประติมากรรมสลักชีพ
อาร์นินและเอลลิออนได้ลงหลักปักฐานที่ราชอาณาจักรอาเพนแล้ว
เหล่าประติมากรรมสลักชีพนั้นต่างอยากหวนรำลึกถึงความเกรียงไกรของราชอาณาจักรอาเพนเมื่อครั้งอดีตกาลและจะยอมทำงานเพื่อราชอาณาจักร
ท่านได้แสดงความหาญกล้า
และความสามารถในการบัญชาการแห่งวีรบุรุษและได้ทำการตัดสินใจบนพื้นฐานของการเคารพในชีวิตของผู้อื่น
-ค่าชื่อเสียงเพิ่มขึ้น 2,580
หน่วย
-เลเวลของท่านเพิ่มขึ้น
-เหล่าประติมากรรมสลักชีพ
อาร์นินและเอลลิออนจะทำงานเพื่อราชอาณาจักรของท่าน
|
-ระดับความใกล้ชิดสนิทสนมกับเหล่าประติมากรรมสลักชีพของท่านเพิ่มขึ้น
พวกเขาจะไม่ลืมความซึ้งใจที่ท่านมอบให้พวกเขาจากการตะลุยภยันตรายเพื่อช่วยเหลือพวกเขา
-บารมีของท่านเพิ่มขึ้น 15 หน่วย
-ความเป็นผู้นำเพิ่มขึ้น 23 หน่วย
-ท่านได้รับประสบการณ์การต่อสู้อันยิ่งใหญ่
สถานะที่เกี่ยวกับการต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างละ
3 หน่วย
|
วีดหัวเราะออกมาอย่างอบอุ่น หากมองจากสายของผู้ชม
คนๆนี้ไม่จำเป็นจะต้องหล่อไม่ต้องดังเลย เขาก็เป็นคนที่น่านับถือ
วีดเบนสายตาของเขาหนีและหัวเราะออกมาด้วยความชั่วร้าย
“ฉันยินดีมากจริงๆที่ได้พบพวกนาย”
ภารกิจปรมาจารย์สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว
แทนที่จะได้รับอุปกรณ์สวมใส่หรือว่าไอเท็ม พวกอาร์นินนั้นกลับเป็นพวกที่ช่ำชองในเรื่องการเลี้ยงสัตว์
‘ฉันจะทำให้พวกมันทำงานไปตลอดชีวิต’
พวกมันพึ่งหลุดออกมาจากการครอบครองของพวกซัลเลียนแล้วก็มากลายเป็นของวีด
สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ก็คือการสูบเลือดสูบเนื้อจากพวกมันนับจากนี้ไป
“อีกอย่าง มันคงจะดีกว่าถ้ามาอยู่ในราชอาณาจักรอาเพน”
ราชอาณาจักรอาเพนที่อยู่ทางเหนือของวีดนั้นได้ผงาดขึ้นมาเป็นอาณาจักรที่เป็นศูนย์กลางของเหล่าผู้เล่นมือใหม่
ถ้าหากว่าเขาลองมองดูกำลังทางเศรษฐกิจ
กำลังทหาร และกำลังทั้งหมดของราชอาณาจักร นั่นเทียบไม่ได้กับทวีปทางตอนกลางเลย
ทางเดียวที่จะเอาชนะได้ในตอนนี้คือ พยายามหาประโยชน์ใส่ตัว!
ตามความเป็นจริงแล้ว
สถานการณ์รอบตัววีดในช่วงนี้ไม่สู้ดีนัก
บาร์ดเรย์และกิลด์เฮอร์มีสรวมกำลังของราชอาณาจักรฮาเว่นและคาลามอร์เป็นเข้าด้วยกัน
ระดับขนาดนี้ก็มากเพียงพอที่จะถูกเรียกว่า จักรวรรดิแล้ว
หลังจากที่กำราบพวกกิลด์ราชสีห์ทมิฬไปแล้ว พวกเขาก็สามารถเข้าควบคุมราชอาณาจักรทัลเลนผ่านทางกิลด์บาเดนไว้ได้
พวกเขามีกำลังทางทหารและอำนาจทางเศรษฐกิจที่ดีที่สุด
แถมพวกเขายังมีผู้เล่นเลเวลแรงเกอร์อีกมากมาย
มีข่าวลือมาว่าเงื่อนไขที่จะเข้าร่วมกับกิลด์เฮอร์มีสนั้นเป็นอะไรที่เหนือจินตนาการ
พลังของพวกเขามีมากพอๆกับกิลด์เมฆา กิลด์นักพเนจร และเหล่าทหารรับจ้างดาบทมิฬรวมกันซะอีก
พวกเขาคือกิลด์ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อปกครองราชอาณาจักรจริงๆ
ไม่มีอะไรเลยที่ราชอาณาจักรอาเพนจะมีอะไรไปเทียบเท่ากับพลังอำนาจ
ความสามารถในการระดมทุน และกองกำลังทหารของพวกเขา
“พวกเขาไม่มีทางยื่นข้อเสนอให้ฉันแน่ๆ
พวกเฮอร์มีสต้องเสียหน้ามากแน่ๆถ้าหากพวกเขาทำอย่างนั้น”
ประเด็นนี้ค่อนข้างชัดเจนสำหรับวีดจริงๆ
กิลด์เฮอร์มีสนั้นต่างชี้ดาบมาทางเขา เพราะว่าเขาขึ้นหลังเสือไปแล้วเขาไม่มีทางลงมาได้
ราชอาณาจักรอาเพนนั้นยังอ่อนแออยู่
แต่ถึงยังไงพวกลูกสมุนของเขาก็ยังทำงานได้ดีอยู่
ส่วนภารกิจปรมาจารย์ก็ให้ผลกำไรดีพอควร
วีดพึ่งทำภารกิจปรมาจารย์ขั้นที่ 14
ของเขาเสร็จไป ปลายทางนั้นไม่ไกลมากแล้วที่เขาจะได้กลายเป็น ปรมาจารย์สายอาชีพ
“คงได้เงินมามากมายแน่ๆถ้าฉันได้เป็นคนแรกที่ทำสำเร็จ!”
สถานีออกอากาศทั้งหลายจะจ่ายรางวัลมหาศาลให้กับเขาเพื่อที่จะได้ออกอากาศปรมาจารย์คนแรกของทวีป
ตำแหน่งนั้นควรจะเป็นของเขาเมื่อโอกาสมาถึง
ทันใดนั้นกระเป๋าเป้ของเขาก็เปิดออก
แล้วประติมากรรมรูปกวางที่เขาไม่ได้มอบชีวิตให้ก็เดินออกมา
ลูกกวางที่มีหน้าตาสดใส
เพราะงั้นเขาจึงคิดว่าคงขายได้กำไรมากพองาม
ในบางครั้งถ้ามีรูปร่างที่ดีก็เป็นที่นิยมและขายได้ราคาดีด้วย
จากนั้นลูกวางตัวนั้นก็พูดออกมา
“ท่านประติมากรผู้สามารถมอบลมหายใจให้กับศิลปะได้”
วีดรู้สึกเสียใจทุกครั้งที่เขาถูกยกย่องในฐานะศิลปิน
มันคือสายอาชีพที่จำเป็นต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์หรืออย่างอื่นอีกมากมายที่เขาจำต้องเผชิญกับความเจ็บปวดรวดร้าวไร้ที่สิ้นสุด
เมื่อตอนที่ถูกสัมภาษณ์จากทางผู้ออกอากาศในหลายสถานี มันช่างเป็นประเด็นที่หนักอึ้งเกี่ยวกับคำถามที่ว่า
เขามาเลือกสายอาชีพนี้ได้อย่างไร
เขาพูดออกไปไม่ได้ว่าเขาเลือกสายอาชีพนี้มาเพราะความผิดพลาดแล้วก็ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด
ทว่าวีดก็ตอบออกไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เอาสิ พูดมาเลย เจ้ากวาง”
“ข้าซึ้งใจนักที่ท่านอุตส่าห์ฟูมฟักค้ำชูประติมากรรมด้วยใจจริง”
“.....”
วีดรุ้สึกละอายใจมากจากคำๆนั้น
“ขอบคุณมากที่อัญเชิญวิญญาณลงมาสู่ตัวพวกเราจนทำให้เรามีชีวิตขึ้นมา”
“ไม่ต้องพูดขนาดนั้นหรอก ก็แค่สิ่งที่ฉันต้องทำนะ
ข้าแค่อยากจะให้ทั้งโลกได้เห็นประติมากรรมน่ารักๆอย่างเจ้านะ”
ช่างเป็นบทสนทนาที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยระหว่างพ่อและลูกสาว
เจ้าเหลืองที่กำลังยืนอยู่ข้างๆเขาที่มักจะถูกเรียกว่า
สเต็กริบอายรู้สึกขุ่นเคืองกับคำพูดของเขา
“ประติมากรเช่นท่านคือคนเดียวที่สามารถเข้าใจหัวใจของประติมากรรมได้
ดังนั้นข้าจึงมีบางอย่างอยากจะขอร้องท่าน ท่านจะช่วยเรียนรู้ความเป็นประติมากรรมเช่นเราได้หรือไม่?”
ตริ้ง!
-ภารกิจ: ดวงตาของประติมากรรม
ความท้าทายใหม่ในฐานะประติมากรนี้ก็เพื่อเพิ่มความเข้าใจในตัวของประติมากรรม
จงกักตัวท่านเอาไว้ในประติมากรรมที่แม้แต่สายลมที่เหน็บหนาวก็ไม่อาจทำให้ท่านรู้สึกได้
ระดับความยาก: ภารกิจปรมาจารย์ประติมากร
ข้อจำกัดภารกิจ: ทักษะแกะสลักขั้นสูงเลเวล 8
หากประติมากรรมถูกทำลายโดยฝีมือสัตว์หรือผู้คนท่านจะทำภารกิจล้มเหลว
หากท่านปลดทักษะ
‘กายาประติมากรรม’ ก่อนเวลากำหนดท่านก็ล้มเหลว
|
-ท่านได้รับทักษะ กายาประติมากรรม
กายาประติมากรรม: ร่างกายของท่านจะถูกทำให้กลายไปเป็นประติมากรรม
หินจะก่อรูปรอบร่างกายของท่านเมื่อทักษะเริ่มร่าย
ท่านจะไม่สามารถขยับได้เป็นระยะเวลา 1 เดือนที่เป็นระยะเวลาที่กำหนดของทักษะนี้
แม้ว่าการเชื่อมต่อกับเกมส์จะถูกตัดขาด
รูปสลักหินจะยังคงอยู่ด้วยความมั่นคงขึ้นอยู่กับค่าสถานะทางศิลปะของท่าน
|
“ฮึ่มมมม..”
วีดคิดคำนวณภารกิจขั้นที่
15 ของเขาเสร็จในทันที
เขาโชคดีมากตั้งแต่ที่ภารกิจปรมาจารย์ของเขาเกือบจะล้มเหลวลงไป
เขาสามารถวางใจได้แล้วใช้เวลาเดือนหน้าทั้งเดือนในร่างประติมากรรมหิน
โรยัลโร้ดนั้นเวลาเดินเร็วมากกว่าเวลาในโลกจริงถึงสี่เท่า
เพราะงั้นมันก็คงไม่ใช้เวลานานมากนัก
วีดเผยรอยยิ้มออกมาแล้วพูดออกมาว่า
“ข้าปรารถนาที่จะเข้าใจในจิตใจของพวกเจ้าให้มากยิ่งขึ้น
ข้าจะขอรับโอกาสครั้งนี้เอาไว้เพื่อเรียนรู้มัน”
-ท่านได้ตอบรับภารกิจแล้ว
|
“ขอบคุณที่ยอมรับภารกิจของข้า”
จากนั้นลูกกวางตัวนั้นก็กลับไปเป็นประติมากรรมอีกครั้ง
เผยดวงตาที่เป็นของตุ๊กตาไม้ออกมา! ปกติแล้วราคาโดยเฉลี่ยก็คงอยู่ประมาณ 1 เหรียญทอง
ทว่าหากบวกภาษีเข้าไปก็คงได้อย่างน้อย 4 เหรียญทอง
จากนั้นคำบ่นของวีดก็เริ่มขึ้น
“อาชีพประติมากรนี่เอาปัญหามาให้ฉันตลอดเลยน๊า”
ถึงยังไงก็ตามเขาก็จำเป็นต้องทำภารกิจ
เขาต้องรีบทำต่อไปให้จบลงเร็วที่สุด
‘อย่างน้อยก็ดูเหมือนจะไม่มีความเสี่ยงอะไร’
เขาควรจะเอาไวเวิร์นไปซักตัวแล้วบินไปอยู่บนหน้าผ้าแล้วก็ค่อยใช้ทักษะ
“ไม่ๆ อาจจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้”
หลังจากที่ทักษะประติมากรรมมหาภัยพิบัติถล่มผาหิน
เขาก็ตะหนักได้ว่าหน้าผาไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยอย่างแน่นอน
“พื้นที่ราบก็คงไม่ดีเท่าไรเพราะมอนสเตอร์ก็คงอยู่ที่นั่นแน่
กลางทะเลก็ดูอันตรายพอกัน...”
มีภัยพิบัติเกิดขึ้นภายในทะเลด้วยเช่นกัน
ไม่ว่าจะพายุและอันตรายที่จินตนาการไม่ถึงมากมายกระจัดกระจายอยู่ทั่วท้องทะเล
เขาแค่ต้องเข้าไปหาข้อมูลในหอสมุดของโมราต้าก็เห็นข้อมูลเหตุการณ์แลวร้ายมากมายที่เกิดขึ้นบนท้องทะเล
ทุกวันนี้ตามชายทะเลและท่าเรือวาร์น่าเองก็ถูกสร้างขึ้นมารอบๆเมืองโมราต้า
มีผู้เล่นมากมายสนุกกับการผจญภัยในทะเล ออกไปตกปลา หรือว่าว่ายน้ำ
“คนในโลกนี่เหลือเชื่อจริงๆ...ฉันจะไปใช้เวลา 1
เดือนที่ไหนดีเนี่ย?”
วีดตัดสินใจที่จะอยู่ภายในโมราต้า
เมื่อพิจารณาถึงพวกมอนสเตอร์และธรรมชาติสิ่งแวดล้อม
โมร้าต้าถือว่าเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยมากที่สุด
“ฉันต้องอยู่ที่นั่น 1 เดือนเต็ม”
มีประติมากรรมตั้งโชว์อยู่เป็นจำนวนมากมายภายในเมือง
ประติมากรทั้งหลายก็ทำงานตามท้องถนน แต่ก็มีอีกมากมายภายในศูนย์ศิลปะและมหาวิหาร
“ฉันก็แค่ไปเป็นหนึ่งในประติมากรรมพวกนั้น”
วีดรู้ดีว่าเขาไม่ควรบอกเรื่องนี้กับใคร
ภารกิจนี้ไม่ได้ยากเย็นอะไร แต่ก็อาจจะมีคนที่มีความบาดหมางกับเขามาโจมตีได้
“มีทั้งพวกกิลด์เฮอร์มีสกับพวกผู้เล่นที่โดนฉันเล่นงานตอนที่อยู่ในเดอะ
คอนติเนน ออฟเมจิค น่าจะมีอย่างน้อย 100,000 ถึง
200,000 คนไหมนะ?”
ความบาดหมางนั้นคงมากพอที่จะทับถมกองเป็นภูเขาเหล่ากาแน่!
“พวกมันต้องมารวมกลุ่มกันแน่ถ้ารู้เรื่องนี้เข้า
แล้วก็จะเข้ามาขัดขวางภารกิจ”
วีดเดินตรงเข้าไปตามสถานที่ที่มีแสงสลัวๆภายในตัวเมืองโมราต้า
เมื่อตอนที่เขาเผชิญหน้ากับพวกแวมไพร์ในอดีต เขาได้ออกล่ามากมาย ณ
ที่แห่งนี้ทว่าบัดนี้ ตัวเมืองได้พัฒนาไปมากแล้วตั้งแต่ตอนนั้น
สิ่งก่อสร้างใหม่ๆที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปทุกครั้งที่เขาเข้ามาในเมืองโมราต้า
“สถานที่ที่ไม่มีคนพลุกพล่านคงจะดีไม่น้อย
สถานที่เงียบๆที่จะได้ไม่โดนขัดจังหวะ”
ไม่มีที่ไหนภายในเมืองโมราต้าที่ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน
ตัวเมืองเติบโตขึ้นอย่างมากและตอนนี้ก็กลายมาเป็นเมืองหลวงไปแล้ว
รถลากผ่านไปมาส่วนผู้เล่นใหม่ก็เดินกันให้ว่อน
วีดซ่อนใบหน้าเขาเอาไว้ภายใต้ชุดคลุมและเดินผ่านเส้นทางหลักไป
เขาเดินไปแถบชานเมืองของโมราต้าและเลือกใช้ถนนเลี่ยงเพื่อขึ้นไปยังเนินเขา
“ที่นี่ไม่เลวเลยทีเดียว ไม่ค่อยมีคนเพ่นพ่าน....”
เขานั่งแกะสลักรอไปได้
1 ชั่วโมงแต่ก็ยังไม่มีใครเดินผ่าน วีดสวมชุดเกราะอัศวินแห่งเทพี ดาบแห่งแดม่อน
และสร้อยคอแห่งบาราฮาน พร้อมกับหมวกดำอันสง่าของชนชั้นสูงวัยเยาว์ก่อนที่จะเปิดใช้ทักษะ
“ทักษะกายาประติมากรรม!”
ทักษะกายาประติมากรรมได้ถูกใช้งานแล้ว
ท่านจะไม่สามารถขยับได้ขณะที่ทักษะเปิดใช้งานอยู่
|
เขาเริ่มกลายเป็นรูปสลักหินตั้งแต่เท้าขึ้นมา
หลังจากที่ร่างกายทั้งหมดของเขากลายไปเป็นหิน
เขาไม่สามารถขยับไปไหนได้นั่นทำให้ค่อนข้างน่าอึดอัดนิดหน่อย
เขากำลังมองดูโลกผ่านทางสายตาของประติมากรรม
และถึงแม้ว่าจะสำรวจทั่วทั้งพื้นที่แล้ว ดวงตาหินของเขาก็ไม่ขยับซักนิด
‘เจ๋งไปเลย ไม่มีใครรู้แน่ๆ’
วีดรู้สึกปลื้มใจกับความลับเล็กๆของเขาแต่เพียงผู้เดียว
แล้วหลังจากที่ผ่านไปได้ 10 นาที
ฟิ้วววววววววววว
ใบไม้ผลิใบร่วงลงสู้ผืนดิน
ช่างเป็นสถานที่ที่เงียบสงบจริงๆภายในเมืองโมราต้าแห่งนี้
เพราะงั้นแหละมันถึงได้น่าเบื่อสุดๆ ทั้งหมดที่เขาสามารถทำได้ก็มีแค่มองดูวิวทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปแล้วก็นกกระจอกที่บินผ่านไป
‘ยังไงก็เถอะ ก็คงจะดีถ้าฉันทำภารกิจสำเร็จ
อยากให้ผ่านไปเร็วๆชะมัด’
วีดรู้ว่ามันน่าเบื่อแต่ก็ยังเชื่อมต่อเกมส์เอาไว้
แต่ยังไงก็ตามเขาก็ยังต้องกินข้าวแล้วก็ทำความสะอาดบ้าน การดูแลเรื่องงานบ้านและเอาใจใส่ดูแลร่างกายนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการมีชีวิตอยู่ในฐานะมนุษย์
‘ก็นะ คงไม่มีปัญหาอะไรแล้วหล่ะ
โมราต้าเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย งั้นไปทำความสะอาดบ้านดีกว่า’
จากนั้นวีดก็ออกจากเกม
---จบตอน----
ผู้แปล :
Cole’s Myth
Editor : แอดชิน เพจ
เราอ่านนิยายแปล
ขอบคุณที่สุดเลย
ตอบลบเข้าไปอยู่ในหอศิลป์ดิ ไม่มีใครรู้ แถมกระตุ้นยอดผู้เข้าชมด้วย
ตอบลบปล.ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ตอบลบข่าวลือตามมา...จุดแวะชมใหม่
ตอบลบใส่ของดีขนาดนั้น ไม่โดนหิ้วไปตั้งโชว์เรอะ 555
ตอบลบยังดีตอนย้ายไม่แตก 5555
ตอบลบ