เล่ม 23 ตอนที่
4 : ปราสาททรายที่มิอาจพังทลาย แปลโดย Cole’s Myth
“ฮึ่มม ทำไมเธอถึงได้มาช้าขนาดนี้นะ?”
ลีฮุนกำลังยืนรอซอยูนอยู่ที่สถานีรถไฟ
ตั้งแต่กลายร่างเป็นเดทไนท์
เขาก็ออกล่าจนยุ่งแบบสุดๆ
ตอนนี้เขาสามารถสวมใส่ชุดเกราะเคลือบแร่เหล็กได้แล้ว
อีกทั้งยังสามารถใช้พลังแห่งความมืดที่ช่วยเสริมทักษะดาบของเขาให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้อีกด้วย
ความแข็งแกร่งของอาชีพสายอัศวินนั้นช่างน่าตกตะลึงมากจริงๆ!
ผู้เล่นหลายคนเลือกอาชีพสายนี้ก็เพราะว่ามันมีความสมดุลที่ดีอีกทั้งยังได้เปรียบในหลายๆทางอีกด้วย
ความเร็วในการเคลื่อนที่ของวีดนั้นรวดเร็วมากพอสมควรด้วยทักษะการขี่ม้าอันแสนโดดเด่นของเขานั่นเอง
แม้การนั่งอยู่บนม้านั้นไม่ค่อยสบายตัวมากนักแต่ก็ถือว่ามีประโยชน์มากในการต่อสู้
จึงถือว่าคุ้มค่าที่จะใช้มัน
ข้อเสียเปรียบเพียงอย่างเดียวนั้นก็คงเป็นค่าความอึดที่ลดลงไปอย่างฮวบฮาบเมื่อเทียบกับอาชีพสายอื่นอย่างนักดาบ
แต่มันกับไม่มีผลอะไรเลยกับเดทไนท์ซึ่งมีร่างเป็นอันเดด
“แถมนี่ยังเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมที่เอาไว้อัพเลเวลซะด้วยสิ…”
วีดตกลงใจเพื่อรักษาคำมั่นสัญญาแล้วก็ออกจากบ้านมาตั้งแต่เช้า
ซอยูนมาถึงก่อนเวลานัดสิบนาที
ตอนเวลา 8 โมงเช้า เธอนำกระเป๋าสำหรับท่องเที่ยวมาด้วยสองใบ
แม้จะสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวธรรมดากับกางเกงยีนเธอก็ยังคงงดงามไม่เปลี่ยน
ผู้คนที่อยู่ภายในสถานีไม่อาจละสายตาไปจากเธอได้เลย
เพียงแค่แอบชำเลืองมองใบหน้าของเธอแบบผ่านๆ
เขาก็ยังรู้สึกประทับใจกับความงดงามนั้นอย่างมาก
เขาไม่สามารถมองหน้าเธอแบบซึ่งๆหน้าได้อีกครั้งเลย
ได้แต่มองไปที่เธอแบบทีละนิดทีละหน่อย
สุภาษิตที่ว่า
‘ดวงตาคือหน้าต่างของดวงใจ’ นั่นถูกต้องสุดๆไปเลย
ดวงตาของเธอช่างลึกล้ำบริสุทธิ์และสุกใสแวววาว
มันดูราวกับว่าดวงตาของเธอนั้นคืออัญมณีที่สุกสกาวที่สุดในโลกใบนี้
คิ้วของเธอเป็นเส้นยาวตรงที่ไม่อาจหาข้อติใดๆได้เลย
เขาไม่สามารถหาตำหนิใดๆอยู่บนจมูก
ริมฝีปาก แก้ม หน้าผาก ใบหู หรือว่าที่ไหนๆบนตัวเธอได้เลย
เวลามองไปที่เธอก็จะรู้สึกราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างในร่างกายเธออยู่ในที่ที่เหมาะที่ควรแล้ว
เรือนร่างของเธอเปล่งประกายความงดงามดูน่าเหลือเชื่อออกมาทั่วทั้งร่าง
“นายกำลังรอฉันอยู่หรอ?”
“เปล่าๆ
ฉันก็พึ่งมาน่ะ ไปซื้อตั๋วขึ้นรถกันก่อนเถอะ”
หลังจากที่รถไฟแล่นไปจนถึงตัวเมืองทางตอนเหนือแล้ว
เพื่อที่จะไปให้ถึงชายหาด พวกเขาจึงวางแผนที่จะเช่ารถขับไป
ซอยูนบอกว่าเธอมีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์แล้ว
“เธอไปได้ใบอนุญาตมาตั้งแต่เมื่อไรหรอ?”
“ฉันพึ่งได้มาเมื่อวานนี้เองหลังจากที่ฉันสอบผ่านแล้วน่ะ”
“………..”
________________________________________________
ขณะที่นั่งรถไฟมุ่งหน้าไปเที่ยวชายหาด
พวกเขากินคิมบับกับน้ำโซดาที่ลีฮุนเอามาจากบ้าน
เขาผล็อยหลับไปขณะที่จ้องออกไปนอกหน้าต่าง
การได้ออกไปเที่ยวช่วยผ่อนคลายความเครียดและความกดดันต่างๆของเขา
“ไอ….”
ลีฮุนกำลังพึมพำด้วยเสียงทุ้มต่ำออกมา
แล้วซอยูนก็เอียงหูของเธอเข้าไปใกล้เพื่อแอบฟัง
“เท็ม”
ลีฮุนกำลังละเมอพูดออกมา!
ซอยูนนอนหลับไม่เพียงพอเพราะว่าเธอยุ่งอยู่กับการจัดเตรียมข้าวของตั้งแต่ไก่โห่
เธอจึงซบไปบนไหล่ของลีฮุนแล้วก็เผลอหลับไปเช่นกัน
ทุกๆครั้งที่ขบวนรถไฟหยุดลง
บรรดาผู้โดยสารก็จะเห็นฉากนั้นขณะที่ขึ้นมาบนรถไฟ
‘ผู้ชายคนนั้นไม่เหมาะกับเธอเลยซักนิด’
‘ทำไมเธอถึงมากับไอ้อ่อนอย่างมันได้นะ’
‘นี่มันไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ! อะไรกันวะเนี่ย!’
ตอนที่ขบวนรถไฟเดินทางมาถึงยังจุดหมายปลายทาง
พวกเขาก็หยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วก็ออกจากรถไฟไป
พวกเขาพบว่าที่เช่ารถเองก็อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟนั่นเอง
หลังจากที่พวกเขาได้เช่ารถที่ได้จองไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
ซอยูนก็นั่งทางฝั่งคนขับ ส่วนลีฮุนก็นั่งทางฝั่งผู้โดยสาร
“ไปเลยไหม?”
“หลังจากที่สตาร์ทรถแล้วนะ”
จากนั้นซอยูนก็ติดเครื่องยนต์แล้วก็พูดขึ้นมาว่า
“งั้นไปกันเถอะ!”
(^.^)
ลีฮุนรู้สึกกังวลหน่อยๆแต่ว่าซอยูนนั้นกลับดูเข้มแข็งกับการใช้ชีวิตจริงอย่างน่าเหลือเชื่อ
ตอนนี้เธอติดเครื่องยนต์แล้ว
จากนั้นก็ค่อยๆขับออกไปอย่างนิ่มนวล
แต่ทว่าทันใดนั้นเอง
ที่ปัดน้ำฝนก็ทำงานขึ้นมาซะงั้น!
“ไฟเลี้ยวอยู่ตรงไหนนะ?”
“อยู่อีกฝั่งนึงนั่นน่ะ”
ลีฮุนรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ไปสอบเอาใบขับขี่เอาไว้ก่อนหน้านี้
หลังจากพวกเขาออกไปจากตัวเมืองแล้ว
ก็ปรากฏภาพของทะเลเหนือของเกาหลีให้ได้เห็นตลอดระยะทางบนทางหลวง
แม้ว่าทะเลตะวันออกหรือตะวันตกจะมีจุดดึงดูดที่มีเสน่ห์ของมันอยู่บ้าง
แต่ว่าทะเลเหนือนั้นน่าดึงดูดมากกว่า แถมยังมีอากาศอบอุ่นในแบบของมันด้วย
อีกทั้งราคายังไม่แพงมากอีกด้วย
ขณะที่ขับรถเลียบไปตามชายฝั่ง
พวกเขาก็ได้เที่ยวไปทั่วทั้งเกาะแล้ว
มีดอกไม้โตขึ้นมากมายอยู่ตามทางโค้งติดกับทางฝั่งชายหาด
ในตอนที่พวกเขามาถึงที่หมาย
ซอยูนก็เอากล้องถ่ายรูปของเธอออกมา
“พวกเราถ่ายรูปตรงนี้ได้ไหม?”
“แน่นอน
ถ่ายได้สิ”
การถ่ายรูปคือกิจกรรมที่เราต้องทำขณะออกมาเที่ยว
“เดี๋ยวฉันจะถ่ายให้นายนะ”
ซอยูนถ่ายรูปเขาพร้อมกับมีทะเลเป็นฉากอันงดงามอยู่ด้านหลัง
ภายในรูปถ่าย
เขาดูเหมือนนักท่องเที่ยวเซ่อซ่าที่ติดอยู่ในฉากสวยๆ
“โอเค เอาหล่ะ
ที่นี้ตาเธอบ้าง”
ลีฮุนรับกล้องถ่ายรูปมาจากซอยูน
แล้วก็กดชัตเตอร์ถ่ายเธอทันที
ทุกๆครั้งที่เธอถูกถ่ายรูป
มันเหมือนกับเป็นภาพที่ถูกถ่ายเอาไว้แล้ว เธอเพียงแค่ยืนอยู่นิ่งๆเหมือนกับลีฮุน
แต่มันกลับเป็นภาพถ่ายที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว
เขารู้สึกราวกับว่าเม็ดทรายกำลังส่องแสงระยิบระยับ
สายลมอันอ่อนโยนพัดวนรอบเรือนร่างของเธอ
เธอไม่ได้ยิ้มหรือว่าโพสท์ท่าทางอะไรมากมาย
แต่เธอก็ยังคงดูเปล่งประกายผ่านฉากเบื้องหลังของทะเลยามเหมันต์
มีนักท่องเที่ยวคนอื่นอีกมากมายอยู่ที่บริเวณชายหาด
จากนั้นลีฮุนก็ขอให้นักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งช่วยถ่ายรูปให้
“ขอโทษนะครับ…ช่วยถ่ายรูปให้พวกเราหน่อยได้ไหมครับ?”
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นนักท่องเที่ยวที่มีทริปฉลองจบการศึกษา
“ได้ครับ
เดี๋ยวผมช่วยถ่ายให้”
จากนั้นผู้ชายพวกนั้นก็มาช่วยถ่ายรูปให้ลีฮุนกับซอยูนที่กำลังยืนอยู่ข้างๆกัน
แช๊ะ!
พวกเขาโฟกัสกล้องไปที่ซอยูน
แต่เบลอลีฮุนเอาไว้!
‘เป็นคู่ที่ไม่เหมาะสมกันเอาซะเลย’
‘ชาติที่แล้วผู้ชายคนนั้นต้องกอบกู้จักรวาลเอาไว้แน่ๆเลย’
ด้วยการเดินทางไปยังที่ต่างๆมากมายขณะที่ขับรถไปทั่ว
พวกเขาก็ได้ไปสถานที่ท่องเที่ยวแล้วก็ได้ถ่ายรูปด้วยกันเอาไว้เยอะมากพอควร
พวกเขาใช้เวลาร่วมกันมากมายภายในรอยัลโร้ด
แต่นี่เป็นอะไรที่แตกต่างออกไป ไม่มีการออกล่า ไม่มีการทำภารกิจ
มันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังเดทกันอยู่ซะมากกว่า
แล้วในไม่ช้า
ยามพลบค่ำก็มาถึง อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็วหลังจากที่ดวงตะวันลับขอบฟ้า
ดังนั้นพวกเขาจึงต้องมองหาที่เหมาะๆเพื่อตั้งแคมป์
“ฉันหาที่ดีๆเอาไว้แล้ว…ไปทางนี้หรือเปล่านะ?”
หลังจากที่พวกเขาขับตะลอนไปทั่ว
พวกเขาก็มาถึงจุดตั้งแคมป์ในที่สุด
ด้วยราคาที่ถูกที่สุด
พวกเขาจึงสามารถใช้ที่แห่งนี้แบบฟรีๆ
มีหลายครอบครัวที่มาเที่ยวได้ตั้งเต้นท์ของพวกเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เรามาถึงช้าไปแหะ เร่งมือดีกว่า”
ลีฮุนเอาอุปกรณ์ตั้งเต้นท์จากกระเป๋าใบใหญ่ออกมา
เขายืมมันมาจากมาวังบัมจากสำนักดาบ
หลังจากที่เขาตั้งเต้นท์แล้ว
เขาก็ไปเอาเตาแก๊สมาต้มน้ำที่เขาไปกรองมาจากแถวๆนั้นเพื่อเตรียมทำอาหารเย็น
ขณะที่ซอยูนกำลังซาวข้าวเพื่อเตรียมหุง
ลีฮุนก็หยิบเบ็ดตกปลาขึ้นมาแล้วก็มุ่งหน้าไปที่ชายฝั่ง
“ฉันจะไปจับปลามาทำอาหารซักหน่อยนะ”
ที่แถวนั้นมีเหล่าชายวัยกลางคนกำลังตั้งหน้าตั้งตาตกปลาขณะที่ภรรยาและลูกสาวของพวกเขาเฝ้าดูอยู่
“เฮ้อออ
ไม่มีปลาซักตัวเลยแหะ”
พวกเขาอยากจะโชว์ออฟให้ครอบครัวของพวกเขาได้เห็นความเก่งของพวกเขา
แต่ถ้าหากว่าคุณไม่ได้มีสายเลือดของชาวประมงตั้งแต่เกิด
มันก็ถือว่าไม่ใช่งานง่ายๆเลย
ลีฮุนเปิดกล่องใส่ของขนาดเล็กของเขา
ก็จะเห็นหนอนตัวเป็นๆที่ถูกจับมาจากสนามหญ้าของเขาตั้งแต่เมื่อเช้านี้
ทุกครั้งที่เขาโยนเบ็ดที่เกี่ยวเหยื่อเอาไว้ลงไปในน้ำ
เขาก็สามารถจับปลามาได้อย่างรวดเร็ว
ปลาซีกเดียวขนาด
63
เซนงั้นหรอ!
“เปลืองเหยื่อฉันซะจริง!”
ปลาหินขนาด
49
เซน!
“ฉันก็อยากได้ซักตัวไปทำสตูเนื้อปลานะ
เจ้านี่ไม่เลวเลยทีเดียว”
เป็นที่รู้กันว่าปลาหินนั้นเป็นอาหารขึ้นชื่อทางแถบนี้
“พวกแกเหนื่อยบ้างไหมเนี่ย?
เลิกมากินเหยื่อฉันได้แล้วเฟ้ย”
ปลามากมายคับคั่งอยู่ในถังน้ำที่ลีฮุนเอามาใส่
เหล่าชายวัยกลางคนปลอบใจตัวเองแล้วก็คิดถึงภรรยาและลูกสาวของเขา
‘ตราบเท่าที่ฉันมีครอบครัวที่มีความสุข…’
‘ถึงแม้ว่าเมียฉันจะชอบเหน็บแนมบ่อยๆก็เถอะ
ความสนุกสนานที่ได้ออกมาเที่ยวกับเธอก็…’
ลีฮุนบ่นอุบอิบขณะที่ถือเบ็ดตกปลาอยู่ในมือ
“ฉันควรกลับไปทำอาหารค่ำได้แล้ว…คงจะดีไม่น้อยเลยถ้าปลาพอร์จี้(ตระกูลปลาจาน)ดำติดเบ็ดซักตัว
พวกมันทำบ้าอะไรอยู่นะ ฮึ่มมม”
เหล่าชายวัยกลางคนทั้งหลายจึงตอบโต้ภายในหัวของพวกเขา
‘เฮ้เจ้าหนู
ปลาพอร์จี้ดำไม่ใช่ปลาคาร์พอะไรทำนองนั้นที่แกจะจับมันได้ง่ายๆนะ’
‘ฉันนั่งอยู่นี่มา12
ชั่วโมงแล้วนะตอนนี้ ยังไม่เห็นมันซักกะตัวเดียว’
ทันใดนั้นเอง
ทุ่นลอยน้ำของลีฮุนก็จมลงไปเล็กน้อย
การเลือกทำเลที่ใช่ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการตกปลา
การค่อยๆกระตุกคันเบ็ดแล้วก็ทำให้เหมือนกับว่าหนอนกำลังกระดิกตัวถือว่าเป็นทักษะขั้นสูง!
และเพราะอย่างนั้นนั่นเอง
ปลาอีกตัวก็ติดเบ็ดอีกครั้ง
โชคไม่ดีเลยที่มันไม่ใช่ปลาพอร์จี้ดำ
มันกลับกลายเป็นปลาไหลทะเลไปซะงั้น
“นี่คงอร่อยแน่ถ้าเอาไปย่าง”
ในตอนที่ลีฮุนกำลังจะกลับ
ซอยูนก็ออกมาจากตรงบริเวณเต้นท์
“จับได้เยอะไหม?”
“มันก็ไม่พอสำหรับกินทั้งชีวิตหรอก
แต่ก็กินพออิ่มได้ละนะ”
หลังจากที่ลีฮุนและซอยูนกลับไปที่เต้นท์ของพวกเขา
ดวงตาของเหล่าชายกลางคนทั้งหลายก็นองไปด้วยน้ำตา
“พ่อค่ะ
มียุงมากัดหนูเต็มไปหมดเลยค่ะ หนูไม่อยากอยู่ที่นี่แล้ว หนูอยากกลับบ้านไปดูทีวี”
“ที่รักคะ
คุณช่วยทำงานอดิเรกบ้าๆของคุณไปคนเดียวได้ไหมคะ?”
พวกเขาแทบไม่อยากจะพูดกับลูกสาวของพวกเขาหลังจากเธอกลับมาจากโรงเรียนเลิก
ส่วนภรรยาของพวกเขาก็แทบไม่อยากจะกลับไปที่บ้านบ่อยๆ
แล้วพวกเขาเองก็แทบไม่กล้าขอไปเที่ยวกับเพื่อนๆของพวกเขาด้วยซ้ำ นี่ทำให้พวกเขาหวนนึกถึงช่วงเวลาทองของพวกเขาตอนที่อยู่มอปลายหรือที่มหาลัย
“เฮ้ออ…ถ้าแค่ฉันกลับไปได้ละก็นะ”
____________________________________________________
ด้วยมือทั้งสองข้างที่แสนคล่องแคล่วว่องไว
ลีฮุนก็ทำให้ถ่านไฟติดแล้วก็วางตะแกงย่างไว้ข้างบนเรียบร้อย จนกระทั่งไฟแรงกำลังดี
เขาก็ทำซุปเต้าเจี้ยวแล้วก็ย่างเนื้อ ไม่ใช่เนื้อหมูหรือเนื้อวัว
แต่เป็นเนื้อปลาหลากชนิดต่างหาก!
“คุณอยากจะแลกอาหารกับปลาหินนี่ไหมครับ?”
ด้วยจำนวนเต้นท์มากมายรายล้อมอยู่นั้น
เขาก็สามารถแลกเปลี่ยนหอยกาบ ปู ไส้กรอก หรือแม้แต่ไวน์ถูกๆมาได้
ขณะที่เขาพลิกปลาที่กำลังย่างอยู่
เขาก็ทำสตูเนื้อปลาไปด้วย
ด้วยบรรยากาศที่คลื่นกำลังซัดเบาๆเป็นฉากหลัง
พวกเขาก็ได้เห็นดวงดาวส่องแสงจากท้องฟ้าอันโล่งกว้างไร้เมฆหมอก
“กินกันเถอะ”
การได้ออกมากินปลาย่างข้างนอกอย่างนี้เป็นอะไรที่วิเศษมาก
หลังจากทานอาหารมื้อค่ำจนเสร็จแล้ว
ลีฮุนก็ไปทำความสะอาดจานชาม
“นายอยากจะดื่มกาแฟสักหน่อยไหม?”
“แน่นอน”
พวกเขานั่งอยู่บนชายหาดพลางดื่มด่ำกาแฟคนละถ้วย
เมื่อยามราตรีอันมืดมิดมาเยือนพวกเขาก็ได้ยินเสียงเหล่าจิ้งหรีดร้องก้องกังวาน
เต้นท์อื่นๆทั้งหมดต่างดับไฟเข้านอนไปจนหมดแล้ว
“เราก็ควรเข้านอนเหมือนกันนะ”
มันคือเต้นท์ขนาดสำรองสำหรับสี่คน
ดังนั้นมันจึงมีพื้นที่มากพอสำหรับสองคนที่จะเข้าไปนอนข้างใน
แม้ว่านั่นจะคือความจริงที่ว่ามีพื้นที่มากพอ
แต่ก็ยังคงให้ความรู้สึกว่ามันคับแคบอยู่ดี
ต่างคนต่างนอนอยู่ในถุงนอนของใครของมัน
แต่ยังไงพวกเขาก็ยังคงได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกันที่ดังมาจากอีกฟากของเต้นท์อยู่ดี
หัวใจที่กระสับกระส่ายของซอยูนกำลังเต้นระรัวอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าจะอยู่ในเต้นท์
อยู่ในที่นอนของใครของมัน
มันก็ยังดูเหมือนกับว่าพวกเขากำลังนอนในห้องนอนเดียวกันอยู่ดี
ซอยูนรู้สึกกังวลว่าเสียงหัวใจเต้นของเธออาจจะดังจนได้ยิน
เป็นเสียงหัวใจที่กำลังผสานเข้ากับคลื่นทะเลที่กำลังซัดและเสียงร้องของจิ้งหรีดที่ดังระงม
ถึงแม้กระนั้นไม่นานนัก
เธอก็ได้ยินเสียงกรนของลีฮุนดังขึ้นมา
______________________________________________________
ลีฮุนตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ามืดเพราะว่าเสียงนกร้อง
แม้ว่าเขาจะนอนในที่ที่ไม่คุ้นเคย
เขาก็ไม่ได้นอนดิ้นไปดิ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นเขายังนอนกรนเสียงดังอีกต่างหาก
ลีฮุนพลิกตัวกลับไป
แล้วพบว่าซอยูนยังคงหลับอยู่และหันหน้ามาตรงใบหน้าของเขาพอดี
หลังจากที่เขาคลานออกมาจากถุงนอน เขาก็ออกมาจากเต้นท์เงียบๆ
‘ฉันควรจะทำสตูปูเป็นอาหารเช้าดีไหมนะ?’
ลีฮุนจัดเตรียมวัตถุดิบแล้วก็รอให้ซอยูนตื่นนอน
เขาคิดว่าซอยูนคงจะยังเหนื่อยล้าจากการเที่ยว
เธอจึงยังไม่ตื่นนอนแม้ว่าพระอาทิตย์จะขึ้นแล้วก็ตาม
แต่ทว่าความจริงก็คือ
ซอยูนนอนดึกก็เพราะว่าเธอมัวแต่นอนจ้องมองใบหน้าของลีฮุนที่กำลังหลับอยู่ต่างหาก
ความประทับใจครั้งแรกของเธอที่มีต่อเขาก็คือตอนที่เธอได้เห็นเขาทุกๆครั้งภายในรอยัลโร้ด
แล้วก็ความซึ้งใจที่ได้ออกไปเที่ยวด้วยกัน เธอเปิดใจของเธอและสารภาพความในใจออกมา
แต่ทว่าลีฮุนกลับไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเลยเพราะเขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการนอนกรนหลับเป็นตายนั่นเอง
“บางทีฉันน่าจะออกไปเดินเล่นหน่อยนะ”
ลีฮุนเดินไปตามทางหาดทรายพลางสูดอากาศสดชื่นจากสายลมจางๆยามเช้าตรู่
‘อากาศดีจริงๆเลยแหะ’
เหล่าหมู่นกส่งเสียงร้องพลางมองหาอาหาร
เด็กๆทั้งหลายมารวมตัวกันเพื่อก่อปราสาททรายตรงบริเวณชายหาด
‘อยากลองทำบ้างจังแหะ’
ไม่ว่าใครที่มาเที่ยวชายหาดก็คงอยากจะทำซักครั้ง
ลีฮุนไม่เคยมีโอกาสที่จะได้ทำมันเลย
แต่อย่างน้อยนี่ก็เป็นการฆ่าเวลาที่ดีอย่างหนึ่ง
สิบนาทีต่อมาเด็กคนอื่นๆก็เริ่มเข้ามารุมล้อมรอบๆจ้องมองไปที่ลีฮุน
ปราสาททรายที่เขากำลังสร้างนั้นมีขนาดใหญ่ราวๆหนึ่งเมตรครึ่ง
บรรดาผู้ใหญ่ก็เข้ามาดูเช่นกันขณะที่เขากำลังสร้างป้อมปราการและเหล่าหอคอย
ทั้งหมดนี่ต้องขอบคุณทักษะที่เขาเชี่ยวชาญที่ฝึกมาจากไซต์ก่อสร้างและทักษะประติมากรรมภายในรอยัลโร้ด
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
ปราสาททรายก็สร้างเสร็จสมบูรณ์
ผู้คนที่อยู่รอบๆเขาชื่นชมถึงผลงานที่สมบูรณ์แบบของเขา
แต่ว่าคำยกยอเหล่านั้นกลับไม่ได้เข้าถึงเขาเลยแม้แต่น้อย
‘มันก็ไม่ใช่ว่าฉันจะเอานี้ไปแลกเปลี่ยนกับคฤหาสน์หลังจริงได้ซะหน่อย…หรือว่าจะเอาไปขายเป็นเงินก็ไม่ได้ด้วยซ้ำ’
นึกถึงการเอาไปใช้สอยต่างหากถึงจะเรียกว่าสมบูรณ์แบบที่แท้จริง!
เมื่อตอนที่น้ำขึ้นมาซักครั้ง
มันก็คงโดนชะล้างแล้วก็พังทลายไป
มันก็แค่ปราสาททรายที่จะล้มลงเพราะลมแรงๆปะทะใส่เล็กน้อยเท่านั้นเอง
หลังจากที่ปราสาททรายสร้างเสร็จ
ผู้คนก็ต่างกระจัดกระจายหายไปทีละคนเพื่อทานเข้าเช้าหรือว่ากลับไปบ้านของพวกเขา
ลีฮุนมองดูระดับน้ำที่กำลังขึ้นมาและปราสาททรายที่แสนไร้ค่าหลังนี้
‘ตอนนี้เราได้มาเที่ยวด้วยกันแล้วนะ….แต่ว่าซักวันเธอก็คงล่องลอยหายจากไป ไปอยู่ในที่ที่ฉันไม่อาจเอื้อมถึงได้’
ลีฮุนยินดีที่จะยอมปล่อยเธอไปเพื่อตัวของเธอเอง
ตลอดเวลาที่เขาใช้ร่วมกันกับเธอจะยังคงอยู่ในความทรงจำของเขาต่อไป
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้เขียนบางอย่างลงไปข้างล่างปราสาท
[บ้านของลีฮุนและซอยูน]
__________________________________________________
เมื่อเขากลับไปที่เต้นท์
ซอยูนก็กำลังทำอาหารด้วยวัตถุดิบที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้
หลังจากที่พวกเขากินข้าวเช้าจนอิ่มแล้ว
พวกเขาก็วางแผนที่จะไปเดินดูรอบๆทะเลเหนืออีกซักนิดหน่อยก่อนที่จะขึ้นรถไฟกลับบ้านตอนช่วงบ่าย
ลีฮุนเก็บข้าวของของเขาแล้วก็พูดกับซอยูนว่าเขาจะจัดเก็บสถานที่เอง
“ฉันจะจัดเก็บพวกนี้เอง
ทำไมเธอไม่ไปพักซักหน่อยละ”
จากนั้นซอยูนก็เดินตรงไปทางหาดทราย
ก่อนที่เธอจะกลับเข้าสู่เมืองใหญ่อีกครั้ง
เธอก็คิดว่าคงจะไม่มีโอกาสมาเห็นที่แห่งนี้อีกแน่ๆ
เพราะงั้นขณะที่เธอใกล้จะไปจากที่แห่งนี้แล้ว
เธอจึงตัดสินใจหยิบของที่ระลึกเล็กๆน้อย อย่างเปลือกหอยหรือพวกก้อนกรวด
“หลังจากวันนี้
ฉันก็จะต้องกลับไปสู่ชีวิตธรรมดาของฉัน”
ขณะที่เธอกำลังเดินอยู่บนหาดทราย
เธอก็สังเกตเห็นปราสาทขนาดมหึมาอันสะดุดตา
เธอไม่รู้ว่าใครกันแน่มาสร้างมันไว้
แต่ว่ามันเป็นปราสาทที่เจ๋งสุดยอดแถมยังทำออกมาได้ยอดเยี่ยมมากอีกด้วย
จากนั้นซอยูนก็เดินมุ่งหน้าไปที่ปราสาททรายหลังนั้น
(ผู้แปล: จะเห็นไหมๆๆๆๆ)
_________________________________________________
กองทัพสี่เหล่าทัพจากดินแดนอันเดดมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองโมราต้า
แต่ทว่ามีเพียงแค่สองเหล่าทัพเท่านั้นที่ใกล้มาถึง
ด้วยระยะทางห่างจากเมืองโมราต้า การเดินทัพจึงเหลือเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น
นั่นก็เพราะว่าอันเดดบางตนไม่มีขาเหลือแล้วจึงไม่สะดวกที่จะเดินนัก
ฉะนั้นพวกมันส่วนใหญ่จึงจะมาถึงช้าหน่อย
นี่ยังไม่ได้พูดถึงอันเดดบางตนที่เขวออกจากเส้นทางหลัก
แล้วก็ตกบ่อน้ำไปหรือแม้แต่หลงทางเดินวนไปมาในป่า
เพราะว่ากองทัพอันเดดกระจายตัวไปมาก
ในตอนที่พวกมันเคลื่อนพลจึงทำให้จำนวนอันเดดล้มตายหายไปสูงมากยิ่งขึ้น
และเพราะว่ามีมอนสเตอร์อยู่ในแถบดินแดนเหนืออยู่จำนวนมากเป็นปกติธรรมดา
พวกมันจึงหายตัวไปในขณะที่เหล่ามอนสเตอร์อย่างก๊อบลิน โทรล หรือว่ายักษ์ที่กำลังพยายามปกป้องอาณาเขตของพวกมัน
“กองทัพอันเดดกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ครับ”
เหล่าผู้เล่นที่กำลังออกผจญภัยอยู่บริเวณพื้นที่ออกล่าชี้ไปที่กองทัพอันเดด
และส่งสัญญาณเตือนภัยภายในเมืองโมราต้า
มันคือเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่สำหรับเหล่าผู้เล่นใหม่และบรรดาพ่อค้า
เหล่าอัศวินศาสนจักรจากวิหารเทพีเฟรย่าถูกส่งตัวออกไปทันทีหลังจากที่ได้รับแจ้งมายังเมืองโมราต้า
“ดูท่าว่าพวกอัศวินแห่งศาสนจักรกำลังเคลื่อนพลออกไปล่าพวกอันเดด”
“นิกายลูห์กับนิกายเฟรย่าได้จับมือกันทำภารกิจออกล่าพวกอันเดดแล้ว”
บรรดากลุ่มปาร์ตี้ทั้งหลายที่ออกล่าบริเวณรอบเมืองโมราต้าก็เข้าร่วมกับพวกนักบวชและพาลาดินในการทำภารกิจด้วยเช่นกัน
ส่วนภายในปราสาทของท่านลอร์ด
ก็มีกองกำลังแห่งการลงทัณฑ์(Punitive Force)จัดตั้งขึ้นมาเพื่อใช้กวาดล้างพวกอันเดด
เพราะว่ายังมีพวกอันเดดโครงกระดูกอ่อนแอๆอยู่ท่ามกลางพวกศัตรู
ดังนั้นไม่ว่าใครที่มีเลเวลมากกว่า 30 จึงสามารถเข้าร่วมได้
“ไปสนุกกันเถอะพวกเรา”
“ไปฆ่าพวกอันเดดให้เกลี้ยง!”
สำหรับบรรดาผู้เล่นใหม่
นี่ถือว่าเป็นโอกาสทองที่พวกเขาจะได้กอบโกยเอาค่าประสบการณ์จากการเข้าร่วมการต่อต้านการรุกรานครั้งใหญ่เช่นนี้
มีเหล่าพาลาดินจากวิหารเฟรย่าทั้งหมด
450
หน่วยมารวมตัวกัน
อัศวินศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเหล่านี้นั้นแข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อเมื่อเทียบกับพวกอัศวินธรรมดาของโมราต้า
เพราะว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในสังกัดทั้งของเมืองหรือของหมู่บ้าน
แม้แต่ลอร์ดก็ไม่อาจสั่งการพวกเขาได้
พวกเขาเพียงแค่ต่อสู้เพื่อศาสนจักรของพวกเขาในตอนที่มีวิกฤตการณ์ทางศาสนาหรือว่าภัยคุกคามจากพวกมอนสเตอร์
อีกทั้งยังมีผู้คนอีก
840
คนมาเข้าร่วมกับเหล่านักบวชของวิหารลูห์และวิหารเฟรย่าเพื่อออกไปร่วมรบกับกองทัพอันเดด
กำลังคนในตอนนี้นั้นถือว่ายอดเยี่ยมมาก
มีเหล่านักบวชมากกว่า 3,000
คนภายในกองกำลังต่อต้านบวกกับเหล่าผู้เล่นธรรมดาๆที่มาเข้าร่วม
เหล่าชาวเมืองและบรรดานักบวชภายในเมืองโมราต้าได้มาเข้าร่วมในการทำภารกิจครั้งนี้เพราะว่ามันสามารถเพิ่มค่าความศรัทธาของพวกเขาได้
แม้แต่พวกคนที่กำลังยุ่งๆอยู่หรือว่ากำลังทำภารกิจบางอย่างก็ปลีกตัวรุดหน้ามายังสนามรบในทันที
“ฮี่ย่าห์
พวกอันเดดเอ๋ย!”
“พระเจ้า
ฉันรักอันเดด”
เหล่านักบวชทั้งหลายรู้สึกเอิบอิ่มไปด้วยความสุขในตอนที่พวกเขาเห็นพวกอันเดด
พวกเขาออกมาเร็วเกือบจะพร้อมๆกันกับเหล่าพาลาดินด้วยการควบม้าเข้าไปจัดการกับอันเดดตัวแรกในทันที
แถมยังมีเหล่านักบวชอีกหลายคนในกองกำลังต่อต้าน
ต่างทยอยออกมาต่อสู้เรื่อยๆ
เพราะว่าโมราต้าเป็นเมืองที่มีค่าชื่อเสียงค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ
และเพราะว่าเมืองนี้มีรูปสลักแห่งเทพีเฟรย่าและมหาวิหาร จากสิบคนในหนึ่งพันคนของจำนวนผู้เล่นจึงเลือกที่จะเป็นนักบวชของวิหารเฟรย่า
มันกลายเป็นสิ่งที่ย้อนแย้งอย่างมากสำหรับพวกเขาที่ต้องมาตอบโต้เผชิญหน้ากับกองทัพอันเดดแบบนี้!
เหล่าพาลาดินเคลื่อนพลออกไปพร้อมๆกับผู้เล่นอาชีพอื่นอย่าง
ทหารรับจ้าง นักรบ นักเวทย์ นักอัญเชิญ แล้วก็จินตกวีก็ได้มาเข้าร่วมกับกองกำลังต่อต้านในครั้งนี้ด้วย
พวกเขาต่างพร้อมเพรียงกันต่อสู้สกัดการรุกรานจากกองทัพอันเดด
เมื่อเทียบกับผู้เล่นเลเวลสูงๆในทวีปทางตอนกลาง
เลเวลของพวกเขาทั้งหมดโดยเฉลี่ยนั้นไม่ได้สูงมากนัก
นั่นก็เพราะว่าผู้เล่นใหม่จำนวนมากเริ่มเล่นจากเมืองโมราต้าเพิ่มมาทุกๆวัน
และเนื่องจากโอกาสมากมายของเมืองนี้ โมราต้าจึงกลายเป็นหนึ่งในเมืองที่ดีที่สุดรองจากเมืองใหญ่อื่นๆ
ก่อนหน้านี้เหล่าผู้เล่นแห่งเมืองโมราต้า
ต่างมีความทรงจำที่ว่าบ้านเมืองของพวกเขาช่างเงียบเหงาและแปลกแยกโดดเดี่ยว
แต่ทว่าตอนนี้แม้แต่ยามค่ำคืน
เหล่าพ่อค้าก็ยังตั้งแผงขายของอยู่ในทุกๆจัตุรัสเป็นประจำ
ไม่ว่าใครก็รู้สึกได้แล้วว่าบ้านเมืองของพวกเขานับวันยิ่งเปลี่ยนแปลงไปวันแล้ววันเล่า
เหล่าผู้คนนับ
50,000
คนจากกองกำลังแห่งการลงทัณฑ์ถีบตัวเองขึ้นมาอยู่แนวหน้าเพื่อต่อสู้!
ก็ถือว่ามีกำลังคนขาดแคลนมากพอสมควรเมื่อเทียบกับกองทัพอันเดดสองเหล่าที่มีจำนวนโดยประมาณราว
60,000
ตน
แต่ด้วยการตั้งแคมป์ซุ่มอยู่ที่บริเวณเนินเขา
พวกเขาก็ได้จุดยุทธศาสตร์ที่สร้างความได้เปรียบ
กำลังใจต่อสู้ของพวกเขาถีบตัวขึ้นสูงด้วยผลเอฟเฟคจากบัฟอวยพรของเหล่านักบวช
แซฟฟราน ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพของกองกำลังแห่งการลงทัณฑ์ในการทำภารกิจนี้ก็ตะโกนก้องออกมา
“กำราบพวกอันเดดที่มารุกรานบ้านใหม่ของเรา
ดินแดนของพวกเรา!”
“โจมตี!!!”
จากนั้นเหล่าพาลาดินแห่งกองกำลังต่อต้านก็พุ่งเข้าใส่ศัตรู
ส่วนเหล่าผู้เล่นกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าที่อยู่ในกองกำลังต่อต้านก็เข้าไปปะทะเรื่อยๆกับพวกอันเดดที่กำลังหลั่งไหลเข้ามา
ในที่สุดสงครามระหว่างทั้งสองทัพก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว
________________________________________________
โปลอนได้รับข้อมูลมาจากกิลด์เฮอร์มีสแล้ว
-พวกเนโครแมนเซอร์ถูกอันเชิญมาโดยพลังที่ไม่ทราบแน่ชัด
แล้วตอนนี้พวกเขาก็กำลังต่อสู้เพื่อกองทัพอมตะด้วยร่างอันเดด
แม้แต่เหล่าเนโครแมนเซอร์จากภายในกิลด์ของพวกเขาเองก็ถูกอันเชิญไปเป็นแนวร่วมกับกองทัพอันเดดนั่น
พวกเขาแต่ละคนต่างมีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมซึ่งช่วยให้กิลด์มีสายอาชีพที่หลากหลายมากมาย
แต่โชคไม่ดีเท่าไร อาชีพสายเนโครแมนเซอร์พึ่งถูกสร้างขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้
บรรดาเนโครแมนเซอร์ที่เป็นส่วนหนึ่งของกิลด์พวกเขาจึงไม่ค่อยมีเลเวลสูงมากเท่าไร
แถมความเร็วในการออกล่าของพวกเขายังช้ามากอีกด้วย
อีกอย่างพวกเขาตอนนี้ต่างก็ยังติดอยู่ที่ระดับโครงกระดูกขั้นสูงเท่านั้น
เซบริน: ดูเหมือนว่าเนโครแมนเซอร์ทุกๆคนภายในทวีปเวอร์เซลจะมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ครับ
เซบรินรายงานข้อมูลทั้งหมดผ่านทางช่องสื่อสารระยะไกลของกิลด์
โปลอน, เหล่าอัศวิน, นักเวทย์, เรนเจอร์
ที่อยู่ในกองทัพรวมถึงบรรดาผู้บริหารของกิลด์เฮอร์มีสก็สามารถรับฟังรายงานนี้ได้
เซบริน: ผมกำลังจับตาดูพวกเนโครแมนเซอร์ที่โด่งดังทุกๆคนอย่างเจนนี่หรือว่าโบรัมครับ
โปลอน: ตอนนี้พวกเขากำลังทำภารกิจอะไรกันอยู่?
เซบริน: ผมไม่ทราบแน่ชัดครับ แต่ว่ามีภารกิจการต่อสู้ให้กับกองทัพอันเดดออกมาเรื่อยๆเลยครับ
เซบรินรู้สึกดีใจที่เขาได้รายงานออกไป
สำหรับกิลด์เฮอร์มีสแล้ว
พวกเขาจะให้การสนับสนุนเต็มที่ถ้าหากพวกเขาคิดว่ามันสำคัญ แถมยังไม่ต้องพูดเลยว่าทางกิลด์จะจัดหาอุปกรณ์ดีๆและได้พื้นที่ออกล่าด้วย
แม้แต่กองกำลังทางทหารที่เอาไว้ใช้ทำภารกิจหรือความจำเป็นอื่นๆทางกิลด์ก็จะจัดหาให้เต็มที่
ถ้าหากว่าเขาได้รับอะไรบางอย่างจากครั้งนี้
เขาก็อาจจะสามารถเข้าร่วมปาร์ตี้ล่าได้
นั่นก็เพราะว่าด้วยระดับอาชีพปัจจุบันของเขาที่ต่ำจนเขาไม่สามารถเข้าร่วมกับเนโครแมนเซอร์คนอื่นๆที่ก้าวข้ามเขาไปไกลแล้วในการออกไปทำภารกิจ
ไม่ว่าความช่วยเหลือใดๆจากกิลด์ก็คงจะเป็นความช่วยเหลือที่ใหญ่สำหรับเซบรินผู้ที่ยังเอื้อมเลเวลไปไม่ถึงเลเวล 300 ด้วยซ้ำ
เหตุผลเดียวที่เซบรินเข้าร่วมกับกิลด์เฮอร์มีสก็เป็นเพราะความละโมบโลภมากจากการได้รับการสนับสนุนที่จะทำให้เลเวลเพิ่มขึ้นได้อย่างง่ายดาย
เซบริน: ถ้าท่านต้องการข้อมูลอะไรอีก ผมจะหามาให้ครับ
ผมได้ผูกมิตรกับเพื่อนเนโครแมนเซอร์หลายคนไว้แล้ว ฉะนั้นผมก็จะสามารถเอาข้อมูลที่ท่านต้องการมาได้แน่ๆครับ
โปลอน: คงจะดีถ้านายสามารถสร้างอิทธิพลต่อพวกเนโครแมนเซอร์พวกนั้นได้บ้าง
เซบริน: โอเคครับ ผมจะลองดู แต่ว่าพวกเนโครแมนเซอร์ที่เก่งๆแล้วก็มีชื่อเสียงโด่งดังได้รับการเลื่อนขั้นไปแล้วครับ
และก็กำลังต่อสู้อยู่ใกล้ๆนี้ โชคไม่ค่อยดีเท่าไรเลยครับที่เลเวลของผมต่ำมากจนไม่อาจตามพวกเขาได้ทันเลยครับตอนนี้
โปลอน: นายใส่อุปกรณ์สำหรับนักเวทย์ได้ไหม?
เซบริน: ได้ครับผมใส่ได้ มันจะดียิ่งกว่านี้ถ้าเป็นไอเท็มต้องสาปครับ
เหล่าโครงกระดูกและภูติผีนั้นสามารถสวมใส่อุปกรณ์ได้แม้ว่าจะเป็นไอเท็มที่มีการจำกัดเผ่าพันธุ์
ยกตัวอย่างเช่น
ไอเท็มต้องสาปที่มีคุณสมบัติลดค่าพลังชีวิตและค่ามานาลงมันก็จะสามารถเพิ่มได้ทั้งสองค่าสำหรับพวกอันเดดที่สวมสิ่งนี้
สำหรับเซบริน
ไอเท็มต้องสาปถือว่าเป็นอะไรที่ดีกว่ามาก
โปลอน: ไม่ว่านายต้องการอะไร นายก็จะได้สิ่งที่ต้องการ
แต่นายต้องรายงานข้อมูลเข้ามาทุกๆวันให้ฉันทราบ
และแจ้งฉันทันทีถ้าเกิดว่านายได้ยินเรื่องสำคัญ หรือข้อมูลสำคัญของวีด
เซบริน: เชื่อใจผมได้เลยครับ ในฐานะสมาชิกกิลด์เฮอร์มีส ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังครับ
_________________________________________________
หลังกลับมาจากทริปท่องเที่ยว
วีดก็กลับมาเชื่อมต่อรอยัลโร้ดอีกครั้งและอยู่ที่หุบเขาตรงที่ดินแดนอันเดดตั้งอยู่
ด้วยการเลื่อนขั้นจนประสบความสำเร็จได้กลายเป็นเดทไนท์
เขาก็ถูกส่งให้มาอยู่ที่หุบเขาแห่งนี้เพื่อต่อสู้
------------------------------------------------------------------------
ติ้ง!
กองทหารรักษาการณ์แห่งคิลิซาร์
-
กองทัพอันเดดมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งในความสามารถของท่าน
-
ด้วยการประสบผลสำเร็จจากการผ่านภารกิจทุกอย่างนี้
กองทัพอันเดดคาดหวังให้ท่านไปกำราบศัตรูที่หุบเขาคิลิซาร์
-
ความยากของภารกิจ:
B
-
ข้อจำกัด:
เฉพาะอันเดดเท่านั้น
--------------------------------------------------------------------------
ความยากของภารกิจเพิ่มมาอย่างพรวดพราด
แต่โชคดีที่ยังมีเนโครแมนเซอร์คนอื่นๆอีก 33 คนรวมถึง เจนนี่ โอเทม
โบรัม เฮเรียน กรูเซท วาเรน่า และโกซูมาถึงที่นี่ก่อนหน้าเขาแล้ว
เพราะว่าพวกเขาเคยเป็นนักเวทย์และซัมมอนเนอร์มาก่อนที่จะกลายเป็นเนโครแมนเซอร์
เลเวลของพวกเขาจึงได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
เจนนี่จะเลเวลเพิ่มขึ้นบ่อยครั้งหลังจากที่เธอกลายมาเป็นเนโครแมนเซอร์
ส่วนเลเวลปัจจุบันของเธอเดาว่าน่าจะราวๆ 408
เนื่องจากแต่ละคนมีค่าสถานะและทักษะที่แตกต่างกัน
มันจึงยากที่จะคาดเดาถึงเลเวลของคนๆหนึ่งได้เพียงแค่ดูจำนวนอันเดดที่พวกเขาสามารถอันเชิญออกมา
อีกอย่าง เมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ที่พวกเขาอาจจะกำลังซ่อนพลังที่แท้จริงของพวกเขาเอาไว้ก็เป็นได้
มันจึงเป็นอะไรที่ซับซ้อนมากกว่านั้นเยอะเลย
วาเรนน่าเปิดเผยเลเวลของเธอว่าเธอมีเลเวล
390
และก็พิจารณาถึงการใช้ค่ามานาที่มากมายมหาศาลตอนที่เธอต้องอันเชิญและร่ายเวทย์แห่งความมืดนั่นเอง
ส่วนเจนนี่ก็คงมีเลเวลอย่างน้อย 408 เมื่อเทียบกับเธอ
‘คงไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขากำลังคิดว่าใครกันแน่ที่เป็นเนโครแมนเซอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา’
วีดยอมรับในตัวของบรรดาเนโครแมนเซอร์ที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา
พวกเขานั้นไม่เพียงจะสามารถควบคุมอันเดดของพวกเขาได้อย่างยอดเยี่ยม
แต่พวกเขายังไม่ลังเลที่จะใช้ทักษะอันสุดยอดนั้นในการต่อสู้เลย
วีดเลือกคลาสของเขาเป็นแบบทักษะต่อสู้สายบู้
ในขณะเมื่อเทียบกับพวกเขาที่เลือกคลาสที่เชี่ยวชาญในการอัญเชิญอันเดด
นั่นคือคลาสพ่อมดแห่งความตายและแม่มดแห่งความตายนั่นเอง!
พวกผู้เล่นคนอื่นๆต่างก็เลือกที่จะเป็นอาชีพสายพ่อมดและแม่มดเช่นกัน
เพื่อควบคุมเหล่าอันเดด
จำนวนซากศพจึงจำเป็นต้องเพิ่มขึ้นมาด้วยพร้อมกับช่วยเสริมพลังก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น
เช่นเดียวกันสำหรับพวกคำสาปทั้งหมดที่จำเป็นต้องร่ายใส่เหล่าศัตรูที่จะทำให้พวกมันอ่อนแอลง
เคลื่อนไหวช้าลง แล้วก็สับสนมึนงง
อาชีพสายเนโครแมนเซอร์นั้นเป็นอาชีพที่ยุ่งยากมากจริงๆ
เพราะว่าจะต้องระเบิดซากศพหรือแม้แต่อันเชิญอันเดดป้องกันเพื่อมาสกัดศัตรูเอาไว้อีก
เมื่อเทียบกับอาชีพสายนักบวชกับนักเวทย์ที่ต้องเกาะอาศัยสมาชิกปาร์ตี้ของพวกเขาเพื่อปกป้องพวกเขาในการต่อสู้ขณะที่ต้องร่ายเวทย์แบบนิ่งๆอย่างต่อเนื่อง
อาชีพสายเนโครแมนเซอร์มีภาระมากมายที่ต้องทำในการสังเกตการณ์สนามรบพร้อมกับวิเคราะห์สถานการณ์ไปด้วย
ในฐานะที่เป็นกองทัพที่สั่งการโดยคนๆเดียว
พวกเขาจึงจำเป็นจะต้องสนับสนุนอันเดดพวกเขาเสมอด้วยความหลากหลายของค่าสถานะและทักษะที่จำเป็นจะต้องอัพเกรดให้ดีขึ้น
ความแข็งแกร่งของอาชีพเนโครแมนเซอร์นั้นแตกต่างอย่างมากขึ้นอยู่กับการสังเกตสถานการณ์ในสนามรบอย่างเฉียบขาดด้วยตนเอง
เวลาในการตอบสนองด้วยความรวดเร็ว หรือแม้แต่ความสามารถในการควบคุมสถานการณ์
แต่ว่าความสามารถทั้งหมดนั้นเป็นอะไรที่เหนือความคาดคิดเหนือจินตนาการมากเกินไป
‘ไม่เลว
ไม่เลวเลยทีเดียว’
วีดรู้สึกพอใจอย่างมากกับการกลายร่างเป็นเดทไนท์
‘มันดีจริงๆที่มีแนวร่วมชั้นยอดแบบนี้’
ในตอนที่เหล่าเนโครแมนเซอร์นำอันเดดของพวกเขาออกไปสู้
ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็เหลือเพียงแค่กำจัดพวกมอนสเตอร์แล้วก็กอบโกยค่าประสบการณ์และไอเท็มที่ดร็อปออกมาเท่านั้น
ด้วยอันเดดและมอนสเตอร์นับพันตนที่เข้าโรมรันกันยุ่งเหยิง
จึงมีจำนวนศัตรูมากมายเอาไว้ให้เขาเชือด
‘พวกมันมาไม่หยุดไม่หย่อนเลยแหะ’
ดินแดนแห่งนี้คือสถานที่ผู้คนต่างเรียกว่าเป็นสรวงสวรรค์ของมอนสเตอร์แข็งแกร่งทั้งหลาย
มันมีเหตุผลที่มนุษย์ไม่สามารถมาออกล่าที่แห่งนี้ได้
เพราะว่ามอนสเตอร์แพร่พันธุ์รวดเร็วแถมยังฉลาดพอที่จะรู้จักรวมตัวกันเป็นฝูงอีก
กองทัพอันเดดนั้นแข็งแกร่งดั่งหินผาแต่พวกมอนสเตอร์เหล่านี้ต่างก็มีระดับสูงเช่นกัน
พวกอันเดดสวมใส่อาวุธและชุดเกราะที่จี้ปล้นมาเมื่อนานมาแล้วหลังจากการล่มสลายของราชอาณาจักรนิฟล์เฮม
เหล่ามอนสเตอร์ต่อสู้กับเหล่ากองทัพอันเดดอย่างเป็นกังวลขณะที่พวกมันโดนข่มขู่และโจมตีพวกมันอย่างต่อเนื่อง
แต่มันก็คงไม่ใกล้เคียงเลยกับตอนที่บัลข่านมาต่อสู้เองแล้วก็ร่ายเวทย์ใส่แบบไม่จบไม่สิ้นไปที่พวกมัน
นี่คือสนามรบอันแสนดุเดือดอลหม่านวุ่นวายสำหรับเหล่าอันเดดและมอนสเตอร์ที่ได้ถูกตระเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
วีดฝ่าวงล้อมเข้าไปล่าภายในฝั่งของพวกมอนสเตอร์แล้วก็เลเวลอัพถึง
394
แล้ว
จากนั้นสิบนาทีต่อมา
มอนสเตอร์อีกหลายฝูงก็กรูกันออกมาอีก
เขารู้สึกได้ถึงละอองฝุ่นทรายที่เพิ่มขึ้นแถมยังรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นของพลังชีวิตที่ใกล้เข้ามา
“อีกไม่นานศัตรูก็มาถึงแล้ว
ร่ายเวทย์เสริมกำลังให้พวกอันเดดเร็วเข้า”
ขณะที่เจนนี่พูดออกมา
พวกเขาก็ตื่นขึ้นจากการทำสมาธิเพื่อชาร์ตมานาพวกเขาแล้วก็รีบเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ระลอกต่อไป
เหล่าเนโครแมนเซอร์ต่างยอมรับเจนนี่ให้เป็นหัวหน้าของพวกเขา
เพระว่ากองทัพอันเดดจำเป็นต้องร่วมมือกันทุกๆครั้งที่พวกเขาออกไปต่อสู้
พวกเขาจึงทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างขะมักเขม้น
“จงสู้! ห้ามถอย!”
“ฆ่าพวกมันให้หมด!”
เหล่าอันเดดที่ถูกอันเชิญมาโดย
โอเทม เฮเรียน และกรูเซด หยิบอาวุธและโล่ของพวกมันขึ้นมาเตรียมพร้อม
“ซัดกระดูก!”
“ลานน้ำแข็ง!”
“หมอกพิษ!”
“ศาสตราต้องสาป!”
บนหุบเขา
เจนนี่ วาเรนน่า โกซู และผู้เล่นคนอื่นๆร่ายเวทย์คำสาปออกมาอย่างต่อเนื่อง
คำสาปและเวทย์ทุกชนิดที่ถูกร่ายออกมาจากเหล่าเนโครแมนเซอร์เลเวลสูงปะทะเข้ากับกองทัพมอนสเตอร์ที่มุ่งหน้ามาตามหุบเขา
นักเวทย์โครงกระดูกและนักธนูโครงกระดูกโปรยกระสุนของพวกมันอย่างต่อเนื่องดั่งห่าฝน
แล้วการต่อสู้อีกครั้งก็เริ่มย่างเข้าสู่ยามราตรี!
เหล่าอันเดดมีข้อได้เปรียบทางภูมิศาสตร์
ส่วนพวกมอนสเตอร์พวกนี้ก็น่าประทับใจเช่นกัน
พวกมันทั้งทำลาย
ฝ่าวงล้อม เหวี่ยงขวานของพวกมันใส่พวกอันเดด
“อัญเชิญอาชาปีศาจ!”
จากนั้นวีดก็ขึ้นไปบนม้าของเขา
-ระดับพลังใจของม้าเพิ่มขึ้นสูงสุด
จิตวิญญาณการต่อสู้
ค่าบารมี และค่าความว่องไวเพิ่มขึ้น 10%
ในขณะที่ม้าปีศาจของเขาปรากฏตัวขึ้น
มันก็ได้เพิ่มค่าสถานะให้กับเขาในฐานะที่เขาเป็นเดทไนท์นั่นเอง
“ไปเลย!”
ฮี่ๆๆๆๆๆ!
ในขณะที่เขายังนั่งอยู่บนม้า วีดก็วิ่งลงไปตามแนวหน้าผา
ทักษะการขี่ม้าของเขาไม่ได้ยอดเยี่ยมมากนักในตอนแรก
แต่มันก็สามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้เพราะเขาเป็นทั้งอัศวินโครงกระดูก(Skeleton
Knight)และอัศวินแห่งความตายนั่นเอง(Death Knight)
แต่ถึงกระนั้น
ก็ถือว่าใจกล้าบ้าบิ่นมากที่วิ่งลงไปจากหน้าผาขณะที่ขี่ม้าอยู่!
“ฉันมาแล้ว ค่าประสบการณ์กับไอเท็มจ๋า!”
เขาพุ่งเข้าใส่มอนสเตอร์ที่กำลังพยายามปีนหน้าผาขึ้นมาขณะที่พวกมันต่างถูกระดมยิงด้วยลูกธนูและเวทมนต์
จบตอน
ผู้แปล:
Cole’s Myth
Editor: แอดชิน เพจ
เราอ่านนิยายแปล
ขอบคุณมากครับ
ตอบลบขอบคุณมากขอรับ^____^
ตอบลบไอ...เท็ม ละเมอมาได้
ตอบลบตกลงนางจะเห็นไม๊ เนี่ย ค้างอย่างแรง..
ตอบลบขอบคุณผู้แปล และ แอดฯชิน มากๆครับ
ขอบคุณครับ
ตอบลบนั่นสิเห็นมั้ยขอให้เห็น จะได้ฟินกันต่ออีก
ตอบลบบทจะบู๊ก็มา บทจะรักก็มี
ตอบลบบทบาทไหนจะเคลียร์ยากกว่ากัน
ขอบคุณครับ
ตอบลบขอบคุณครับ
ตอบลบซอยูน นางสารภาพรัก ตอนวีดนอนหลับหรอนิื แล้วซอยูน ได้เห็นคำที่วีดเขียนลงไปบนปราสาททรายหรือเปล่าหว่า
ตอบลบถ้าซอยูนเห็นละก็ คุณพ่อตาเตรียมรับพระเอกเป็นลูกเขยได้เลย 0v0
ตอบลบ‘ตอนนี้เราได้มาเที่ยวด้วยกันแล้วนะ….แต่ว่าซักวันเธอก็คงล่องลอยหายจากไป ไปอยู่ในที่ที่ฉันไม่อาจเอื้อมถึงได้’
ตอบลบลีฮุนยินดีที่จะยอมปล่อยเธอไปเพื่อตัวของเธอเอง
ตลอดเวลาที่เขาใช้ร่วมกันกับเธอจะยังคงอยู่ในความทรงจำของเขาต่อไป
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้เขียนบางอย่างลงไปข้างล่างปราสาท
[บ้านของลีฮุนและซอยูน]...ซึน นี่หว่า!!???😉
มันขัดๆ กันกะอีตรงนี้ ละครับ ฮ่้า
ลบวีดเอ้ย สงสารซอยูนบ้างเท้อ
ตอบลบเฉลยตอนไหนน้อ...ลุ้นกับซอยูน
ตอบลบขอบใจหลายๆเด้อออ
กอบกู้จักรวาล 555
ตอบลบ