เล่ม 27 ตอนที่
9: การพบปะกับเผ่าพันธุ์ประติมากรรมสลักชีพ แปลโดย Cole’s
Myth
วีดบอกกับไอน์ฮานด์ว่า
“เหล่าประติมากรรมขององค์จักรพรรดิอาเพ่นยังไม่สูญหายไป
ข้าได้เรียนรู้เกี่ยวกับมันแล้ว”
“โอ้ ยอดไปเลย!”
ไอน์ฮานด์ระเบิดคำอุทานเหมือนตอนที่เขาดื่มเหล้าอร่อยๆเข้าไป
“ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่า
เจ้าก็คงจะเป็นประติมากรที่ยิ่งใหญ่จริงๆสินะ ถ้างั้นข้าก็อยากจะขอร้องเจ้าซักอีกอย่างหนึ่ง
เจ้ารู้จักสถานที่ที่เรียกว่า ยูก็อธ (Ugoth)ไหม?”
วีดเคยได้ยินชื่อนั้นจากที่ไหนมาก่อน
มันคือชื่อของดินแดนที่อยู่ทางทิศใต้ของเทือกเขาไซกอร์น
ณ อาณาจักรธอร์ เหล่านักรบคนแคระคอยสกัดกั้นพวกมอนสเตอร์ในเขตชายแดนอยู่เสมอ
ขณะที่มีเหล่านักผจญภัยเลเวลสูงมากมายก็มาเยี่ยมเยือนสถานที่แห่งนี้เช่นกัน
นั่นก็เพราะว่ามีดันเจี้ยนจำนวนมากที่ยังไม่ถูกค้นพบภายในดินแดนแถบนี้
ทันใดนั้นหน้าต่างข้อความก็โผล่ขึ้นมาตรงหน้าวีด
-ท่านได้เลือกใช้ทักษะประติมากรรมประทานชีพเพื่อใช้ในการทำภารกิจปรมาจารย์แห่งประติมากรรม
|
ภารกิจปรมาจารย์แห่งสายอาชีพที่เหลือของท่านจะถูกกำหนดขึ้นโดยภารกิจที่เกี่ยวข้องกับบรรดาประติมากรรมสลักชีพ
|
“อีกอย่าง
มีคนแคระบางคนที่อยู่ที่นั่นบอกว่าเคยได้คุยกับพวกกอบลินด้วย”
“พวกเขาบอกว่าไงบ้างครับ?”
“พวกเขาบอกว่าเมื่อไรที่พวกเขาเดินและร้องเพลงไปด้วย
พวกเขาก็จะเห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆอยู่ในพุ่มไม้เข้าโดยบังเอิญ”
“พวกมันตัวเล็กแค่ไหนครับ?”
“เล็กเท่ากระรอกครึ่งตัวนี่แหละมั้ง?
บางทีพวกมันอาจจะไม่ใช่มอนสเตอร์ แต่ว่าพวกเราคนแคระก็ยังไม่ได้เจอพวกมันตัวเป็นๆหรอก
ข้าคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าเจ้าสืบหาก่อนว่ามันอยู่ที่ไหนกันแน่
ข้าก็ไม่ได้คิดว่ามันจะสำคัญใหญ่โตอะไรหรอกนะ
ก็แค่เจ้าช่วยไปดูหน่อยละกันเมื่อเจ้ามีเวลา ถ้าเจ้าสะดวกก็ลองไปตรวจดูหน่อยละกัน”
“ถ้างั้น
ข้าจะลองไปดูหน่อยละกันถ้าวันนี้ข้าว่าง”
ถึงแม้ว่าวีดจะตอบไปอย่างนั้น
แต่เขาคิดว่ามันต้องเป็นอะไรที่จำเป็นต้องรีบค้นหาแน่ๆ
บางครั้งคำใบ้แบบนี้ก็จะเชื่อมโยงไปถึงเหตุการณ์หรือรางวัลใหญ่ๆ
แน่นอน แม้ว่ามันไม่ได้มีอะไรที่เข้าเค้ามากนักแต่ก็คุ้มที่จะไปตรวจสอบดู
“แล้วก็ภายในยูก็อธ เพราะว่ามีฝูงมอนสเตอร์อยู่เป็นจำนวนมาก
ก็เลยทำให้ช่วงนี้เหล่าคนแคระพลอยตกอยู่ในอันตรายไปด้วย
หากเจ้าสามารถสร้างประติมากรรมสลักชีพที่ทำขึ้นมาจากเหล็กอย่างจักรวรรดิอาเพ่นเมื่อครั้งในอดีต
ข้าก็คิดว่าเจ้าคงจะสามารถนำความสงบสุขให้เกิดขึ้นภายในยูก็อธได้
แม้ว่านี่จะเป็นคำขอที่ช่างน่าละอายนัก
แต่เจ้าจะสามารถให้ความช่วยเหลือเล็กๆน้อยๆกับเหล่าคนแคระภายในยูก็อธได้ไหม?”
“แน่นอน
ข้าจะทำอย่างสุดความสามารถครับ”
วีดคิดว่ามันก็แค่ภารกิจต่อสู้ง่ายๆเท่านั้นเอง
แม้ว่าภารกิจแบบนี้จะเป็นสิ่งที่หาได้ยากจากภารกิจประติมากรรม
แต่มันก็อาจจะเป็นภารกิจที่สร้างภาระอันหนักอึ้งให้กับเขาก็ได้
เพราะมันคือภารกิจที่เกี่ยวข้องกับทักษะประติมากรรมประทานชีพ
“แล้วก็อีกอย่างนะหากเจ้าทำภารกิจนี้
เจ้าจะได้สร้างบุญคุณอันใหญ่หลวงให้กับพวกเราอย่างยิ่ง
เช่นนั้นหากเจ้าช่วยยูก็อธได้สำเร็จ เราเหล่าคนแคระก็ยังไม่รู้เลยว่าควรจะให้ของขวัญล้ำค่าแบบไหนดี”
ตริ้ง!
ภารกิจ: เหล่าผู้พิทักษ์แห่งยูก็อธ
|
กองกำลังที่หลบซ่อนแห่งจักรวรรดิอาเพ่น!
|
ถ้าประติมากรรู้วิธีใช้ทักษะประติมากรรมประทานชีพ
เขาก็จะสามารถให้ความช่วยเหลือครั้งใหญ่กับเหล่าคนแคระแห่งเทือกเขาไซกอร์น
|
จงเข้าไปพร้อมกับเหล่าประติมากรรมสลักชีพจำนวน
10
ตัวหรือมากกว่านั้น และนำพวกมันไปช่วยกอบกู้ความสงบสุขภายในยูก็อธ
|
เหล่าคนแคระจะมอบรางวัลให้กับความช่วยเหลือในครั้งนี้
|
จากนั้นท่านก็จะสามารถตามหาอย่างอื่นที่อยู่ในยูก็อธได้ด้วยเช่นกัน
อีกอย่าง มันอาจจะเป็นหนึ่งในตำแหน่งที่อยู่ของพวกก็อบลินด้วยก็เป็นได้…
|
หากท่านได้เผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดเหล่านี้
มันจะนำท่านไปสู่ขั้นต่อไปของภารกิจต่อเนื่อง
|
ระดับความยาก:
ภารกิจปรมาจารย์แห่งประติมากรรม
|
ข้อจำกัดการทำภารกิจ:
ทักษะแกะสลักขั้นสูงเลเวล 8 หรือมากกว่า
|
จำเป็นต้องใช้ทักษะประติมากรรมประทานชีพ
|
ระดับของทักษะการแสดง – จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากจินตกวีที่มีทักษะขับร้องขั้นกลางหรือมากกว่า
|
ท่านต้องล่ามอนสเตอร์จำนวน
500
ตัวเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ
|
วีดจำไม่ได้แล้วว่าเลเวลของพวกมอนสเตอร์ที่อยู่ในยูก็อธสูงแค่ไหน
แม้ว่ามันจะเป็นสถานที่ที่มีความยากระดับสูง
แต่ถ้าหากพวกนั้นเป็นประติมากรรมสลักชีพ
คงกลายเป็นภารกิจที่ไม่ต้องใช้เวลานานมากนัก แต่ถึงยังไงในการทำภารกิจระยะยาว
เขาคงต้องใช้ทักษะประติมากรรมประทานชีพเพื่อทำภารกิจปรมาจารย์แห่งประติมากรรมต่อไป
เขารู้สึกกังวลนิดนึงว่าภารกิจต่อสู้แบบนี้จะยิ่งทวีคูณความยากขึ้นเรื่อยๆ
จริงๆแล้ว
เขาไม่ค่อยจะมีศรัทธาในการทำภารกิจของเขาร่วมกับพวกประติมากรรมสลักชีพมากสักเท่าไหร่
“มีแต่พวกไร้ประโยชน์
เอาพวกมันมาที่นี่ก็คงทำอะไรไม่ได้มากนักหรอก…ถ้าฉันต้องทำภารกิจกับเจ้าพวกนี้ต่อไปเรื่อยๆ
คงกลายเป็นเรื่องยุ่งยากแน่ๆ”
“แกว๊กแกว๊กกกกก!”
“ข้าไม่รู้จริงๆว่าทำไมข้าถึงได้เกิดมา
มอออออออออ”
“เอาปีกแห่งแสงมาด้วยแหะ
แกนี่มันซื่อสัตย์ต่อนายท่านจริงๆ”
เหล่าประติมากรรมสลักชีพได้มารวมตัวกันแล้ว
ขณะที่พวกมันกำลังโดนวีดบ่นจนหูชา
***
เหล่าคนเถื่อนภายในป้อมปราการเวอร์โก้กังวลเกี่ยวกับสถานที่แห่งหนึ่ง
“ไม่มีนักรบคนใดไปที่นั่นแล้วมีชีวิตรอดกลับมาได้”
“ตำนานเล่าว่ามีปีศาจอาศัยอยู่ในนั้นด้วย”
“สถานที่แห่งนั้นส่งกลิ่นซากศพเน่าน่าขยะแขยงคละคลุ้ง
แถมยังปลดปล่อยออร่าอันเลวร้ายทะลักออกมาทั่ว”
เหล่าอาจารย์นักดาบและพวกลูกศิษย์ได้รับภารกิจจากพวกคนเถื่อน
“เอ่ออ
เราจะทำได้ไหมนะ?” (ลูกศิษย์)
“ถึงเราจะล้มเหลว
เราก็จะไม่ยอมตาย” (อาจารย์นักดาบ)
“สมองพวกเจ้าไม่ได้เอาไว้ที่บ้านนะ
เอามันไปใช้ต่อสู้ด้วยสิ” (อาจารย์นักดาบ)
“ข้าจะทำตามคำสั่งของท่านอาจารย์” (นักดาบ498)
เหล่าคนเถื่อนบอกว่าพวกมันเป็นมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งมาก
พวกเขาจึงจะเข้าไปล้อมพวกมันและกำจัดพวกมันไปพร้อมๆกันในทีเดียว
แต่เพราะว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่คนจำนวน
505
คน จะต้องไปทำแบบนั้น
พวกเขาจึงแยกกลุ่มและกระจายตัวออกไปในแต่ละดันเจี้ยน
“ห้ามเข้าไปในสถานที่แห่งนี้เด็ดขาด! อืม ดูเหมือนว่าเราควรกังวลเรื่องคำสั่งนั้นนะครับ”
(นักดาบ489)
“ทางเข้าอยู่ที่ไหน?” (อาจารย์นักดาบ)
“พวกนักรบบางคนบอกว่าต้นไม้พวกนี้ปกป้องเราจากการโดนโจมตีได้นะครับ” (นักดาบ489)
“ถ้างั้นก็สนุกสิ
ข้าขอออกไปสู้ก่อนนะ” (อาจารย์นักดาบ)
“มอนสเตอร์พวกนั้นมีกรงเล็บที่ร้ายกาจมาก
อย่างน้อยพวกมันก็จะอ่อนแอลงตอนฝนตกเพราะว่าการมองเห็นของพวกมันจะแย่ลงนะครับ
ถ้าเราใช้….” (นักดาบ489)
“ถึงยังไงก็เถอะ
จะให้ใช้วิธีนั้นถึงจะฆ่าพวกมันได้หรือไง? ถึงฝนไม่ตกข้าก็จะออกไปสู้อยู่ดี” (อาจารย์นักดาบ)
ชิ้ง ชิ้ง
ชิ้ง
“ไปเร็วเข้า!” (อาจารย์นักดาบ)
“มาต้อนรับพวกมอนสเตอร์ให้หนำใจกันไปเลย” (อาจารย์นักดาบ)
เหล่านักดาบรุดหน้าเข้าไปข้างในขณะที่พวกเขาต้องทนแบกรับอาการบาดเจ็บไปด้วย
พวกเขาทั้งวิ่ง
กระแทกและต่อสู้ในแต่ละดันเจี้ยน แถมยังพยายามลดระยะเวลาในการต่อสู้ให้สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“เราไม่จำเป็นต้องคิดให้ปวดหัวหรอก
ก็แค่ฆ่าศัตรูทุกตัวแค่นั้นแหละ” (อาจารย์นักดาบ)
“ความคิดของท่านอาจารย์เจ๋งไปเลยครับ!” (พวกลูกศิษย์)
พวกเขาทำตัวเป็นวีรบุรุษภายในสงครามขณะที่พวกเขาแต่ละคนค่อยๆตายไป
นักดาบ489 คือคนที่พูดได้ว่าเป็นคนที่มีระดับความคิดที่ฉลาดคนหนึ่งของสังคม
เมื่อก่อนหน้า
เขาได้แสดงถึงลักษณะของการเป็นอัจฉริยะที่มีอนาคตที่สดใส เขาได้รับการศึกษาจากมอต้น
มอปลาย จนสามารถเข้ามหา’ลัยได้ในที่สุด
แต่จากนั้น
เขาก็ออกจากมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของสาธารณรัฐเกาหลีและได้กลายเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศจากทุนรัฐบาล
เขาชนะการแข่งขันทางคณิตศาสตร์
และกลายเป็นที่รู้จักภายในแวดวงวิชาการจนได้ออกตีพิมพ์ในนิตยาสาร
เขาได้รับการันตีการว่าจ้างงานให้เข้ามาเป็นหนึ่งในผู้บริหารของบริษัทแห่งหนึ่ง แถมเขายังเป็นนักซิ่งระดับพระกาฬบนถนนไฮเวย์ที่ไม่มีกล้องวงจรปิดตัวไหนสามารถจับเขาได้!
ทั้งชีวิตของนักดาบ489 ผ่านอะไรมานักต่อนักแล้ว
‘ถ้าเป็นอย่างนี้
พวกเขาคงเลื่อนขั้นให้ฉันก่อนคนอื่นๆแน่ อาจจะเป็นรองผู้อำนวยการ…หรือผู้อำนวยการก็เป็นได้ จำนวนเงินเดือนร้อยล้านกับโบนัสที่จะได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวสินค้า
ทางบริษัทก็จะให้รถส่วนตัว
แล้วหลังจากนั้นฉันก็จะไต่ขึ้นไปเป็นซีอีโอหรือรองประธานบริษัท’
แม้ว่าเขาจะดูเหมือนคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต
เขากลับไม่เคยรู้สึกถึงความสุขของชีวิต บนจอโทรทัศน์ที่ฉายออกมาก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆที่ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจมากนัก
ส่วนโรงฝึกดาบที่คนเราเอาไว้ใช้ออกกำลังกายและมอบโอกาสให้พวกเขาได้มองเห็นเส้นทางของดาบเท่านั้น
ร่างกายทุกส่วนของเขารู้สึกถึงความเร่าร้อนที่ได้เปิดเส้นทางเข้าสู่วิถีการใช้ดาบ
และหลังจากนั้น
การฝึกดาบก็ได้กลายเป็นงานอดิเรกของเขาและเขาก็ได้เริ่มฝึกที่โรงฝึกแห่งนี้
แม้ว่าหยดเหงื่อที่ผุดออกมาจะเป็นผลของการฝึกหนัก
แต่เขาก็ยังคงรู้สึกเพลิดเพลินไปกับการฝึกร่างกายของเขา
แต่ถึงกระนั้นก็มีผลข้างเคียงเล็กๆบางอย่างเกิดขึ้น
การอยู่ร่วมกับผู้ฝึกดาบคนอื่นๆหรือว่าการสวมชุดฟอร์มกลับมอบวิถีของการใช้ความรุนแรงมากกว่าการใช้สมองคิดให้กับเขา
“ฆ่าพวกม๊านนนน!”
เขาไม่ต้องสนใจความรู้ที่สั่งสมมาจากสังคมภายนอก
หากใครได้จับดาบร่วมไปกับผู้ฝึกดาบพวกนี้ คนๆนั้นก็จะกลายเป็นบุคคลผู้โง่เขลาไปโดยปริยาย
การตัดสินใจว่านั่นถูกหรือผิด
คือความคิดที่มีความสำคัญน้อยมากเมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆ
หากคนๆหนึ่งมีความกล้ามากพอที่จะโยนชีวิตของเขาทิ้ง
ให้ความสำคัญกับร่างกายมากกว่าความรู้ ชีวิตที่ไม่ต้องคำนึงถึงอะไรมากนักนั้นยิ่งสนุกซะกว่า
“ดูสิ ถ้าเจ้าลองทำดู
ก็เป็นไปได้ ใช่ไหมล่ะ!”
“ใช่ครับ
อาจารย์”
“การได้ทำตามคำสั่งของอาจารย์มันช่าง……เป็นพรที่ทวีปเวอร์เซลดลบันดาลมาให้จริงๆครับ”
เหล่าอาจารย์นักดาบและผู้ฝึกดาบทั้งหลายมัวแต่ยุ่งอยู่กับการประจบสอพลออาจารย์นักดาบ
(นักดาบ1) พวกเขาคอยรวบรวมและแบ่งปันข้อมูลให้กันและกันเกี่ยวกับพื้นที่ล่าใหม่รอบๆป้อมปราการเวอร์โก้
นักดาบสามมองดูเซเฟอร์และพวกพ้องของเขาขณะที่เดินเล่นในย่านการค้า
“ว่าไง
เซเฟอร์”
“ดีครับ พี่”
“ตอนนี้นายกำลังยุ่งอยู่รึเปล่า?”
“เอ่อออก็…….”
นักดาบสามขบฟันแน่นเพราะว่ามันเป็นเรื่องฉุกเฉินจริงๆ
แม้ว่าเซเฟอร์จะมีภารกิจที่ต้องทำให้เสร็จวันพรุ่งนี้ แต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้
“ก็ไม่ยุ่งครับ”
“ถ้างั้นออกไปล่ากันเถอะ”
“เอ่ออ….งั้นไปกันเถอะครับพี่ แต่ว่ายังมีคุณเพลกับคนอื่นๆอยู่อีกนะครับ”
เซเฟอร์รู้ว่าพวกนักดาบบ้าบิ่นขนาดไหนเพราะว่าเขาเคยเห็นตอนที่พวกเขาออกไปล่าด้วยกัน
แต่ว่าพวกเขาก็ไม่ใช่คนแปลกถิ่นที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเกี่ยวกับป้อมปราการเวอร์โก้ซักหน่อย
ในตอนที่พวกคนเถื่อนเอ่ยถึงเรื่องสถานที่ออกล่า
พวกอาจารย์นักดาบกับพวกลูกศิษย์ก็กวาดล้างมอนสเตอร์พวกนั้นจนหมดเกลี้ยง!
พวกเขาได้แสดงทักษะการต่อสู้และความเร็วในการออกล่าที่มากพอจะทำให้พวกคนเถื่อนรู้สึกทึ่ง
หากเป็นอย่างนี้
เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาออกไปล่า คงสรุปได้แล้วล่ะว่าต้องมีอะไรตายแน่ๆ
ถ้าเขาไปกับพวกนักดาบเพียงลำพังโดยไม่มีเพล
เซอร์กะ ไอรีนและโรมูนะ เขาคงโดนพวกลูกศิษย์ประกบข้างเอาไว้แน่ และเขาคงจะได้เป็นลมเป็นแล้งด้วยความเหน็ดเหนื่อยปราศจากพวกพ้องที่จะมาร่วมแบ่งปันความเจ็บปวดไปพร้อมกับเขา
“ก็ได้ ถ้างั้น
เราจะเริ่มออกล่าตอนที่พวกเรามากันครบแล้ว”
เช่นนั้นเอง
พวกเขาก็ถูกบังคับให้จำใจต้องยอมออกไปล่าร่วมกันทั้งหมดทุกคน!
นักดาบ2กลับมารวมกลุ่มกับออร์คซีชวิพร้อมทั้งออร์คตัวอื่นๆ
“นี่มันก็ผ่านมาพักหนึ่งแล้วนะคะที่ฉันไม่ได้เจอคุณ
ชวิชวิค!”
“คุณคงเหนื่อยมาก
กว่าจะมาถึงนี่ได้”
พวกเขาทั้งสองกอดกันจนแน่นขณะที่ส่งผ่านความอบอุ่นให้กันและกัน
เมื่อมองดูแล้ว
แม้ว่ามันจะดูกระอักกระอ่วนเพราะนี่คือการแสดงความรักระหว่างออร์คกับมนุษย์
แต่มันก็ยังเป็นความรู้สึกเสน่หาระหว่างคนทั้งสองที่ส่งให้กันและกัน
“ตอนนี้ผมต้องออกไปล่าแล้วล่ะ….”
“ไปด้วยกันเถอะค่ะ ชวิชวิค!”
ผู้บัญชาการออร์คซีชวินำกลุ่มออร์คมาร่วมออกล่าในครั้งนี้ด้วย
บรรดานักสู้ออร์คผู้มากฝีมือได้เข้าสู่ดันเจี้ยนและออกล่า
ตระเวนเดินทางไปทั่วเทือกเขาอันแสนยากแค้น พวกเขาได้เติบโตขึ้นจากการตอนสู้กับมอนสเตอร์จำนวนมากมาย
ส่วนซอยูนเองก็ออกล่าร่วมกับลูกศิษย์นักดาบ
หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า พวกเขา คือ ความหายนะ
อีกอย่างเพราะว่าช่วงหนึ่ง
เธอเอาแต่ทำเครื่องปั้นและประติมากรรมร่วมกับวีด
ตอนนี้เธอจึงอยากจะเพิ่มเลเวลของเธอด้วยการออกล่าพร้อมกับเหล่านักดาบ
อาชีพสายเบอร์เซิร์กเกอร์ของซอยูน
ยิ่งเธอต่อสู้มากเท่าไรเธอก็จะยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น
พลังจากทักษะของเธอไม่เพียงแต่จะเป็นพลังที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น
เพราะทันทีที่เธอกวาดล้างทั้งดันเจี้ยนจนสิ้นซากแล้ว เธอก็ตรงไปยังดันเจี้ยนอื่นในทันที
เธอต่อสู้กับมอนสเตอร์เป็นจำนวนมาก ขณะที่เหล่านักดาบและลูกศิษย์ทำได้เพียงแต่ยืนมองดูความสามารถของเธอที่กำลังห้ำหั่นกับพวกมอนสเตอร์
“สาวน้อยคนนั้นแข็งแกร่งกว่าพวกเรา….”
“ความสามารถในการล่าของเราดูเหมือนว่าคงยังเทียบไม่ได้กับของเธอนะ”
“ไม่นะ! ต้องไม่เป็นแบบนี้!
ถึงเราจะกินเนื้อย่างแพ้เธอ เราจะต้องไม่ต่อสู้แพ้เธอเด็ดขาด ไปกันเถอะพวกเรา!”
ท่านอาจารย์นักดาบ
เหล่าครูฝึก พร้อมทั้งลูกศิษย์ ยิ่งเพิ่มความบ้าบิ่นขึ้นไปอีก
***
เพื่อที่วีดจะสามารถทำภารกิจยูก็อธให้สำเร็จได้
เขาจำเป็นต้องเรียกจินตกวีมาหนึ่งคน
“ถ้างั้นก็แปลว่าฉันทำภารกิจเพียงลำพังไม่ได้สินะ
แถมยังต้องร่วมมือกับผู้เล่นต่างอาชีพอีก แล้วจินตกวีคนนั้นก็ต้องเลเวลสูงมากด้วย
อย่างต่ำเลเวลทักษะก็ต้องอยู่ขั้นกลาง”
เขาสามารถขอความช่วยเหลือจากพวกจินตกวีได้ตลอด
เพราะว่าไม่ว่ายังไงสายอาชีพนี้ภายในโมราต้าก็โดดเด่นกว่าเมืองอื่นๆอยู่แล้ว
มีคนที่มีพรสวรรค์มากมายในโมราต้า ผู้คนพร้อมที่จะวิ่งเข้าหาเขาทันทีแม้จะไม่ได้ใส่รองเท้าอยู่ก็ตาม
ถ้าหากว่าวีดเรียกพวกเขาเหล่านั้นล่ะก็นะ แต่โชคไม่ดีที่เลเวลของพวกเขายังไม่สูงพอ
“ถ้าเป็นเบลล็อตล่ะ
เธอมีเลเวลสูงอยู่นะ เพราะว่ามันใช้แค่ขั้นกลางเองนิ”
จากนั้นวีดก็ส่งข้อความกระซิบไปหาเบลล็อต
-ขอโทษนะครับ
ตอนนี้คุณว่างอยู่รึเปล่า?
-ฮี่ ฮี่
-เอ่อ
คุณเบลล็อตครับ?
-ฟิ้ววว
ขอโทษทีค่ะ นี่คุณพึ่งติดต่อมาหาฉันหรอค่ะเนี่ย?
เธอยังมีเสน่ห์ที่น่าดึงดูดอยู่เสมอ
แม้ว่าจะแปลกๆบ้าง โดยเฉพาะตอนที่เธอกำลังยุ่งๆ มักจะแสดงพฤติกรรมที่ไม่ใช่เบลล็อตแบบปกติ
-ตอนนี้
ถ้าคุณสะดวก เอ่อ…….
-คุณวีดค่ะ!
ฉันสะดวก ว่างสุดๆเลยค่ะ!
-ถ้าคุณมีเวลา
ผมอยากจะให้คุณช่วยอะไรบางอย่างน่ะครับ
-ถ้างั้นฉันก็หนีไปจากที่นี่ได้สินะคะ
งั้น….ฉันมีเวลาเหลือเฟือเลยค่ะ
นี่เป็นครั้งแรกสำหรับเบลล็อตที่เคยพูดว่ามีเวลาเหลือเฟือให้กับผู้ชาย
สถานการณ์ปัจจุบัน
ณ ตอนนี้ เธอได้ถูกขัดจังหวะขณะที่กำลังต่อสู้ร่วมกับฮวายองและเหล่านักดาบ
แม้ว่าเลเวลของเธอจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างง่ายและเธอเองก็พอใจไปกับมัน
แต่ว่าการล่าของพวกเขานั้นไม่จบลงง่ายๆ
เพราะตอนนี้เธอรู้สึกเหนื่อยมากขณะที่ต้องร้องเพลงและเล่นดนตรีไปด้วย
ทั้งที่ตอนนี้เธอแทบจะทรุดลงไปกองกับพื้นอยู่แล้ว
-งั้น
ผทจะติดต่อยูรินให้พาคุณมาด้วย
-ได้โปรด
ช่วยมาเร็วๆหน่อยก็ดีนะคะ
***
วีด
เบลล็อต พวกไวเวิร์นทั้งหก โกลมินิ เจ้าเหลือง วิหคเงิน และปีกแห่งแสงได้มาถึงยูก็อธแล้ว
ส่วนเจ้าวิหคทองคำจำใจต้องมาเพราะเจ้าวิหคเงินก็มาด้วย ยูก็อธตั้งอยู่บนหนึ่งในหกของเขตแดนเหล่าคนแคระ
เขาขี่ไวเวิร์นขึ้นไปบนฟ้าและทอดสายตามองสิ่งก่อสร้างที่เหล่าคนแคระพักอาศัยอยู่ แน่นอนว่าพวกคนแคระก็ยิ่งตัวกระจ้อยร่อยมากกว่าเดิม
และที่แห่งนั้นก็คือสถานที่ที่พวกเขาสร้างชุดเกราะ อาวุธและอื่นๆอีกมากมายขึ้นมา
เหล่านักผจญภัยที่มาเยี่ยมชมเมือง
กำลังเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วท้องถนนที่แออัดไร้ซึ่งกำแพงระหว่างเผ่าพันธุ์
“ก่อนอื่น เราจะไปจับมอนสเตอร์กัน
คุณโอเคกับมันไหมครับ”
เบลล็อตถอนหายใจเฮือกใหญ่
“งั้น
ฉันต้องออกไปล่าอีกสินะคะ?”
เธอพึ่งหนีมาจากเสือฝูงใหญ่ก็มาเจอเข้ากับจระเข้ตัวเป้งอีกตัวซะแล้ว!
“ก็แค่ 500
ตัวเองครับ เราควรจะจัดการเรื่องนี้ก่อนจะได้จับมันง่ายๆหน่อย”
“คุณพึ่งบอกว่า
500 ตัวหรอ?”
เบลล็อตเอาเครื่องดนตรีของเธออกมาและเตรียมตัวบรรเลงมัน
ความสามารถในการต่อสู้ของจินตกวีนั้นก็พอใช้ได้
แต่ถึงกระนั้นเจ้าพวกประติมากรรมสลักชีพก็ไม่ยอมขยับตัวไปไหนเลย
เธอพึ่งเล่นเพลงที่คิดว่าน่าจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับพวกประติมากรรมสลักชีพและ
ตอนนั้นนั่นเอง……
“อ๊ากกกก นั่นมันเสียงหนวกหูอะไรวะ”
“………”
พวกไวเวิร์นไม่ชื่นชอบในเสียงเพลงเป็นเพราะธรรมชาติของความดุร้ายและหุนหันพลันแล่นของพวกมัน
แต่ถึงอย่างนั้น วิหคเงินก็ชื่นชอบมันอย่างมากจนเธอเต้นออกมาขณะที่ส่งเสียงจิ๊บๆไปด้วย
ขณะที่เครื่องดนตรีของเบลล็อตกำลังบรรเลงเพลง
วิหคเงินก็เต้นรำด้วยท่าทางน่ารักน่าชัง
แต่ถึงอย่างนั้น
ท่าทางการเคลื่อนไหวที่น่ารักน่าชังของวิหคเงินกลับไม่เป็นที่น่าประทับใจนักจากวีดผู้ตายด้าน
“แกเมารึไง?”
“จิ้บ จิ้บ!”
วิหคเงินหันหัวของเธอกลับมาและทำหน้าบูดบึ้ง
พวกไวเวิร์นรู้สึกสงสัยเพราะคิดว่าพวกมันพลาดอะไรไปรึเปล่า
ในขณะที่คนอื่นๆได้ดื่มอะไรอร่อยๆจนเมา
“เอาเถอะ
ไปสู้กันได้แล้ว!”
ราคาที่เขาต้องจ่ายในการทำภารกิจครั้งนี้ก็คือการต้องมาเคลื่อนพลพวกประติมากรรมสลักชีพโง่เง่าพวกนี้
วีดและโกลมินิติดอาวุธด้วยธนู
และยิงมอนสเตอร์ตัวไหนก็ตามที่เตร็ดเตร่อยู่ในป่า หากธนูพวกเขาถูกเล็งไปที่พวกมอนเตอร์แล้วพลาด
พวกไวเวิร์นก็จะตามไปจัดการพวกมันในทันที
“ฉันจะเร่งจังหวะแล้วนะคะ”
เพราะว่าเบลล็อตเล่นเพลงเร็วขึ้น
พวกไวเวิร์นจึงรู้สึกตัวเบาขึ้นเพราะมีค่าความว่องไวช่วยเสริมจนทำให้เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว
พวกมอนสเตอร์ของยูก็อธถือว่าเป็นเหยื่อที่ยอดเยี่ยมสำหรับเหล่าประติมากรรมสลักชีพ
ในบางครั้งที่เขาเจอเข้ากับสถานที่ที่มีมอนสเตอร์รวมตัวกันอยู่เต็มไปหมด
วีดก็จะกระโดดลงไปที่พื้น
“วิชาดาบประกายแสง!”
วีดขี่เจ้าเหลืองขณะที่กำลังต่อสู้
-เหลือมอนสเตอร์ที่ต้องกำจัด: 264
|
การออกล่าเป็นไปอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าจะมีมอนสเตอร์เลเวลสูงอยู่ในเขตยูก็อธอยู่เป็นจำนวนมาก
พวกมันก็ถือว่าอ่อนแอจากการโจมตีผสานของพวกไวเวิร์น
“กรี๊กกกกกกกกส!”
วิหคเงินเรียกหมอกปริศนาออกมา
ถึงแม้ปกติแล้วมันจะถูกเรียกใช้ในการโจมตีปิดล้อม
มันก็ยังคงใช้ได้ในการต่อสู้บนภูเขาสูงแบบนี้
มันคือเทคนิคที่ทำร้ายพวกมอนสเตอร์ด้วยการทำให้พวกมันสบสน
ขณะเดียวกันก็ช่วยเสริมกำลังใจให้กับกลุ่มทหาร
ภายในป้อมปราการเวอร์โก้
เทคนิคนี้ของวิหคเงินเป็นสิ่งที่ถูกใช้ค่อนข้างบ่อย
เพื่อช่วยสร้างข้อได้เปรียบให้กับพวกทหารและพวกประติมากรรมสลักชีพ
เบลล็อตที่กำลังขี่เจ้าไววันอยู่เผยรอยยิ้มอันสดใสออกมาขณะที่เธอกำลังบรรเลงเพลง
“สวยจัง”
หมอกปริศนาปกคลุมห่อหุ้มทั่วทั้งเทือกเขาไซกอร์นและกระจายตัวออกไปขณะที่พวกมอนสเตอร์หลงทิศหลงทางและเดินไปมาแบบงงๆ
ถึงแม้ว่าเบลล็อตจะมีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย
เธอก็คงจะหลงอยู่ในหมอกนั่นได้อยู่ดี
ในขณะที่พวกไวเวิร์นกลับมีความคิดที่ยอดเยี่ยมในการโจมตีอะไรก็แล้วแต่ที่มีรูปร่างของพวกมอนสเตอร์
แต่ทว่าวีดก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่สนใจใยดีใดๆ
ออกมาว่า
“เฮ้ย ฉันมองหาแจ็ปเทมไม่เห็น…ยกเลิกทักษะของแกไปซะ”
“กรี๊กกก!”
“อีกอย่าง
ฉันก็ไม่ได้บอกให้แกทำแบบนี้ด้วย”
เพราะว่าเธอใช้ทักษะไปอย่างสูญเปล่า
วิหคเงินเลยรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจจากคำดุด่านั้น
วิหคเงินที่เชิดชูวีดว่าเป็นพ่อผู้ให้กำเนิด
เธอบิดจะงอยปาก จมลงสู่ความท้อแท้ใจและบูดบึ้งไม่ยอมพูดยอมจาใดๆ
และตอนนี้เธอก็ทำตัวเป็นลูกนกนั่งตัวงองุ้มไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
และหลังจากนั้นพวกเขาก็จบการต่อสู้กับมอนสเตอร์
500
ตัวลงในช่วงเย็นของวันนั้น
ตริ้ง!
-ท่านได้กำจัดมอนสเตอร์จากภารกิจ ‘เหล่าผู้พิทักษ์แห่งยูก็อธ’ตามจำนวนเป้าหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
|
ท่านสามารถได้รับค่าชดเชยจากภารกิจของท่านด้วยการไปที่เมืองและมองหาคนแคระ
|
แม้ว่าพวกเขาจะจัดการมอนสเตอร์ไปได้อย่างรวดเร็ว
แต่ก็ใช้เวลาไปมากพอสมควรในการแยกพวกมอนสเตอร์ออกจากกัน
เพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับภารกิจ
มันจึงดีกว่าที่จะออกล่ามอนสเตอร์ที่มีเลเวลสูงกว่า ดีกว่าไปออกล่าพวกที่มีเลเวลน้อยกว่า
อีกอย่างพวกเขาอาจจะได้รางวัลที่ดีจากพวกคนแคระด้วยก็ได้
“ที่นี้แหละครับคุณเบลล็อตที่ผมต้องการความช่วยเหลือของคุณจริงๆ”
“ว่ามาเลยค่ะ?”
ที่แน่ๆภารกิจของวีดพึ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น
เพราะว่าหากเขาไม่อาจหาสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก
ตามที่ได้ยินมาจากการพูดคุยของพวกก้อบลิน เขาก็คงจะทำภารกิจถัดไปไม่ได้
***
ขณะที่วีดออกล่าไปทั่วเขตยูก็อธ
เขาก็ระแวดระวังสิ่งรอบข้างไปด้วย
มันคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม
เขาจำได้ว่าพวกกอบลินอาศัยอยู่ในโพรงแถวๆนี้
“ถ้างั้น
เริ่มจากตรงนี้ละกันนะคะ”
เบลล็อตเริ่มร้องเพลงขณะที่เล่นเครื่องดนตรีของเธอไปด้วย
เหยียบย่างบนเส้นทางภูเขาดำทะมึนเมื่อยามราตรีอันดึกสงัด
กรายย่างบนผืนใบไม้ที่ร่วงหล่นปนเสียงกรอบแกรบ
ยามทอดเดินบ้างพลัดหลงในสายทางเท้า
การเดินทางที่ชักนำข้าสู่ดินแดนใหม่
ที่ข้ามิอาจรู้ได้ว่าสิ่งไหนจักปรากฏออกมา
ตัวสั่นเทาในเมื่อยามที่ขับเสียงร้องบทเพลง
ยามใดเมื่อได้ยินเสียงพวกหมาป่า
|
ในยามค่ำคืนนั้นเอง
ถ้อยเสียงของเธอนั้นดังก้องกังวานไปทั่วสารทิศ
แม้ว่าในฐานะจินตกวี
เบลล็อตจะสามารถใช้เครื่องดนตรีบรรเลงเพลงได้เป็นอย่างดี
แต่น้ำเสียงของเธอที่เปล่งออกมาก็เป็นสิ่งหนึ่งที่งดงามและสดใสมากอย่างยิ่ง
แต่ในบางครั้งบางครา
เมื่อมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่พวกกอบลินได้ยินและมองมาที่พวกเขา พวกมันก็จะหลบหนีในทันที
ส่วนสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่อยู่ในพุ่มไม้นั่นก็ไม่ปรากฏตัวออกมาเช่นกัน
เบลล็อตคิดในใจว่า
‘นี่มันน่าอายชะมัด’
แน่นอน
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีประติมากรรมสลักชีพร่วมเดินทางด้วย
แต่การร้องเพลงให้ชายคนหนึ่งที่อยู่กันเพียงลำพังนี่เป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างแปลกพิลึก
ตอนนี้เธอไม่ได้รู้สึกอะไรอีกแล้วนอกจากความอายบวกกับอาการปวดตุบๆตรงขมับ!
“จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรออกมาเลย
ฉันจะร้องต่อไปเรื่อยๆก็แล้วกัน”
ขณะที่เบลล็อตร้องเพลงต่อไปเรื่อยๆ
เธอหวังว่าจะมีบางอย่างบังเอิญได้ยินเสียงเพลงของเธอและปรากฏตัวออกมา
เนื่องจากพวกเขาอยู่ใกล้กับบริเวณโพรงของพวกกอบลิน
มอนสเตอร์ตัวอื่นๆก็ไม่ปรากฏตัวออกมาเช่นกัน นั่นคงเป็นเพราะว่าสถานการณ์เช่นนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศชวนหดหู่
เจ้าเหลืองและพวกไวเวิร์นล้มตัวลงนอนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แล้วในที่สุด
วีดก็พูดแทรกขึ้นมา
“ดูท่าคงจะมีอะไรบางอย่างผิดพลาดเกี่ยวกับเพลงที่ร้องนะครับ”
“คะ?”
ถึงแม้ว่าอาชีพของเธอในโลกจริงจะไม่ใช่นักร้อง
เบลล็อทก็ยังคงรู้สึกมีความภูมิใจในการเป็นจินตกวีภายในโลกของรอยัลโร้ด
“จากความแม่นยำในการใช้โทนเสียงกับการเล่นดนตรีของฉัน
ฉันไม่คิดว่าจะมีอะไรผิดพลาดนะคะ?”
วีดส่ายหน้า
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น
ช่วยทวนเนื้อเพลงซักท่อนให้ผมฟังอีกซักครั้งได้ไหมครับ”
“………ก็ได้อยู่หรอกค่ะ”
ทักษะการร้องเพลงของวีดถือว่าแย่ที่สุดของแย่ที่สุด
แม้ว่าเบลล็อตจะรู้เรื่องนี้ดี
เธอก็ยังตัดสินใจทำตามที่เขาขอ
และพยายามจะไม่ตอบโต้ใดๆหลังจากที่เขาพยายามร้องเพลงบางท่อนของเธอ
วีดเปลี่ยนเนื้อเพลงที่ที่จะให้เธอเอาไปร้อง
“เพลงน่าจะเป็นอย่างนี้นะครับ”
เนื้อเพลงนี่
เอ่อ ค่อนข้างจะ…..จะให้ฉันร้องออกไปยังไงดีล่ะคะ?
เธอทนไม่ได้ที่จะพูดออกไปว่าเนื้อเพลงนั้นมันน่าอายที่จะลองร้องมันด้วยซ้ำ
แต่ก็ต้องกลืนมันลงไปในคอ!
แต่ถึงอย่างนั้น
ก็มีความเป็นไปได้สูงที่พวกไวเวิร์นและเจ้าเหลืองจะชอบเมื่อได้ยินมัน
“โอเค ถ้างั้นฉันจะลองร้องดูละกันค่ะ”
อัญมณีถูกฝังอยู่บนเส้นทางภูเขาดำทะมึนเมื่อตอนดึก
เศษใบไม้ร่วงหล่นภายใต้ก่อเสียงกรอบแกรบ
ฉันทำอาหารอร่อยๆออกมามากมายเลยนะ
คงไม่มีใครออกมาแล้วล่ะ
แล้วเพลงนี่ก็คงไม่มีใครมาฟังหรอกมั้ง
เพลงที่พวกแกไม่ต้องฟังกันแล้วล่ะ
อย่ามาแอบฟังก็แล้วกัน
|
ในหัวของวีดกำลังคิดขณะที่เขาได้ยินเพลงอันแสนไพเราะของเบลล็อต
‘นี่ต้องทำให้พวกกอบลินออกมาแน่….’
ทักษะการร้องเพลงของเธอค่อยๆเข้าที่เข้าทางแล้ว
เพลงนี้ได้ปล่อยความรู้สึกที่สดชื่นออกมาโดยไม่มีท่วงทำนองที่ยุ่งเหยิงหรือว่าโน้ตที่สูงๆ
มันเป็นอะไรที่รู้สึกดีมากที่ได้ฟังเพลงนี้พร้อมกับเสียงดนตรี
หากระดับความเชี่ยวชาญของเธอสูงมากพอแล้วละก็ วีดก็จะตามหาสิ่งมีชีวิตกระจ้อยร่อยพวกนั้นพบ
‘บางทีอาจจะมีปัญหาตรงเนื้อเพลงอีกล่ะมั้ง?’
ทันใดนั้นวีดก็เห็นบางอย่างเคลื่อนไหว
ตอนที่เบลล็อตเปลี่ยนเนื้อเพลงของเธอ
การตอบสนองของพวกประติมากรรมสลักชีพก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
“มออออออออออออออ”
เจ้าเหลืองที่นอนอยู่ด้วยหนังตาที่เกือบจะปิด
มันขุดลงไปในพื้นดินด้วยขาหลังของมัน
แซกๆๆๆๆๆๆๆๆ!
เจ้าเหลืองพยายามหาว่ามีอัญมณีฝังอยู่จริงๆหรือเปล่า
แน่นอนว่ามันก็กลายเป็นเรื่องจริงสำหรับพวกไวเวิร์นเช่นกัน
แม้แต่กับวิหคเงิน กับวิหคทองคำเองก็เปล่งเสียงที่ดูโหยหาออกมา
จิ้บ จีบ
จิ้บ จิ้บ!
แล้วจากนั้นก็มีเสียงสั่นสะท้อนเบาๆดังออกมาจากพุ่มไม้
ในที่สุดวีดก็สามารถตามหาสิ่งมีชีวิตจนพบ
พวกมันมีขนาดเล็กกว่าลูกสนและกำลังแอบมองจากทางพุ่มไม้
ตริ้ง!
ท่านค้นพบ
เอลลิออน จากเผ่าพันธุ์ประติมากรรมสลักชีพที่ได้รับการประทานชีวิตมาจากจักรพรรดิเกฮา
วอน อาเพ่น
|
เอลลิออนคือเผ่าพันธุ์จำพวกเดียวกับเผ่าพันธุ์ภูติ
(Ellyon: น่าจะตั้งชื่อคล้ายๆกับเทพของชาวยิว)
|
เพราะว่าพวกเขามีอายุขัยที่ยาวนานมาก
จึงยากที่จะได้เห็นกรณีที่มีตัวใดตัวหนึ่งในเผ่าพันธุ์ของพวกเขาตายไป
|
ขนาดของร่างกายพวกเขาเล็กมาก
แถมพวกเขายังชื่นชอบในเสียงดนตรีและประติมากรรม
|
อาหารส่วนใหญ่ที่พวกเขากินก็คือ
หยาดน้ำค้างและธัญพืชที่พวกเขาเก็บได้ในยามรุ่งอรุณ
|
พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่รักสงบและไม่ฝักใฝ่ในการต่อสู้
ไม่มีอาณาเขตใดที่แยกพวกเขาออกจากกันได้
|
พวกเขารักสถานที่แห่งนี้มากและไม่เคยทำลายธรรมชาติแบบรุนแรงมาก่อน
|
-จากการค้นพบครั้งนี้
ค่าพลังชีวิตสูงสุดเพิ่มขึ้น 1,000 หน่วย มานาเพิ่มขึ้น 50
หน่วย ทุกค่าสถานะเพิ่มขึ้น 2 หน่วย
|
-ท่านสามารถรายงานเผ่าพันธุ์ใหม่ที่ท่านพบให้กับกษัตริย์หรือเจ้าเมืองให้ทราบได้
|
หากบรรดาอาณาจักรและเมืองต่างๆได้ทราบข่าวคราวเรื่องเอลลิออน
ค่าสติปัญญาและความใกล้ชิดกับธรรมชาติเพิ่มขึ้น
|
ภารกิจ ‘เหล่าผู้พิทักษ์แห่งยูก็อธ’ สำเร็จแล้ว
|
ก๊อบลินเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซื่อตรง
ความจริงนั้นยากที่ใครสักคนจะเชื่อได้ แต่สิ่งที่พวกเขาพูดมานั้น เป็นจริงเสมอ
|
-
ค่าความเชี่ยวชาญทักษะแกะสลักเพิ่มขึ้น
|
-ท่านมีชื่อเสียงที่ดีต่อเหล่าก๊อบลิน
|
หากท่านพูดคุยกับพวกเขา
พวกเขาจะบอกสิ่งที่พวกเขารู้
|
- โชคเพิ่มขึ้น
7
หน่วย
|
- ท่านทำภารกิจผู้พิทักษ์แห่งยูก็อธสำเร็จ
ตอนนี้ท่านสามารถทำภารกิจปรมาจารย์แห่งประติมากรรมในขั้นต่อไปได้แล้ว
|
***
บาร์ดเรย์ต้องเสียกองทหารไปถึง
400
หน่วยเพื่อใช้ตั้งรับภายในปราสาทคราตั้น
แม้ว่าปราการของปราสาทจะแข็งแกร่ง
แต่กองกำลังทหารเหล่านั้นต้องสู้กับฝ่ายศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าพวกเขาถึงสิบเท่า
เหล่าทหารกำลังถูกฝึกให้เตรียมพร้อมรบ
และยังได้รับอาวุธใหม่อย่างหอกขว้างและดาบ!
เหลือเวลาอีกเพียงแค่
20
วันเท่านั้นกว่าศัตรูทั้งหมดของพวกเขาจะยกทัพบุกเข้ามาโจมตีพวกเขา
และช่วงเวลาที่เหลือในตอนนั้น
เหล่าทหารก็จะถูกฝึก ส่วนพวกชาวเมืองก็จะถูกบังคับเกณฑ์เข้ามาเป็นทหารหรือถูกสั่งให้มาซ่อมแซมเครื่องมือ
ชุดเกราะและอาวุธ
แน่นอนว่าเนื่องจากพวกเขากำลังขาดแคลนเสบียงศึก
จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับพวกเขาที่จะเพิ่มปริมาณผลผลิตของพวกเขา
“ข้าผิดไปแล้ว
ข้าขอโทษ”
แม้ว่าบาร์ดเรย์จะเป็นหนึ่งในผู้นำการฝึกครั้งนี้
เหล่าทหารทั้งหลายก็ยังไม่ทำตามคำสั่งง่ายๆ
“ถ้าแกไม่ยอมฟัง…….”
บาร์ดเรย์ชักดาบออกมาและฟันใส่เขา
จากนั้นทหารคนที่ทำเรื่องผิดพลาดก็กลายเป็นแสงสีเทาสลายหายไป
“…พวกแกจะต้องตายอย่างนี้ จำใส่กะโหลกของพวกแกไว้ด้วย”
-จำนวนทหารของปราสาทคราตั้นลดลงเหลือ
399
นาย
|
-ความหวาดกลัวที่มีต่อเจ้าเมืองแผ่ขยายไปสู่เหล่าทหาร
|
ค่าชื่อเสียงแย่เพิ่มขึ้น
|
ผลจากความเป็นผู้นำจะพัฒนาขึ้นชั่วคราว
|
“รับทราบครับ!”
ตอนนี้ภารกิจปรมาจารย์แห่งอัศวินทมิฬของบาร์ดเรย์อยู่ที่ขั้น
11
แล้ว
ขณะที่ความยากของภารกิจของเขาค่อยๆเพิ่มขึ้น
การสนับสนุนของกิลด์เฮอร์มีสก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
บรรดาทหารที่เตรียมตัวสำหรับภารกิจต่อไป
ต่างได้รับไอเท็มธรรมดาที่มีข้อจำกัดต่ำเพื่อใช้สวมใส่ อย่างแหวนเวทย์
มีดสั้นเวทย์มนต์ เกราะหนังให้กับพวกเขาโดยที่พวกเขาต้องจ่ายเอง
ถึงแม้ว่าภารกิจอัศวินทมิฬส่วนมากจะไม่มีอะไรมากนัก
ได้แต่ออกไปต่อสู้แบบหูตามืดบอดเพื่อความอยู่รอด แต่พวกเขาก็ยังสามารถจัดการกองรบของพวกเขาได้เหมือนเป็นเรื่องง่ายๆ
สถานะของเขาในตอนนี้เป็นถึงกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรฮาเว่นที่มีบารมีและความเป็นผู้นำที่สูงมาก
แถมยังมีเลเวลที่ไม่แม้แต่จะกล้าไปอิจฉาได้
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม
มันก็ไม่มากพอที่จะเปลี่ยนทหารพวกนั้นให้กลายเป็นกองกำลังทหารฝีมือพระกาฬได้ในทันที
ในการเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ที่จะมาถึงนี้ด้วยแผนที่ได้วางไว้
จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่าง
“ให้พวกชาวเมืองตั้งใจสร้างคันธนูกับลูกให้ดี
แล้วก็เพิ่มคนไปซ่อมกำแพงเมืองตลอดทั้งคืน”
“แต่ความไม่พอใจของชาวเมืองอาจเพิ่มขึ้นนะ”
“’งานนี้ทำเพื่อพวกเขาทั้งนั้นแหละ”
“’งานนี้ทำเพื่อพวกเขาทั้งนั้นแหละ”
แม้ว่าความเหนื่อยล้าและความไม่พอใจของเหล่าชาวเมืองจะยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆวันแล้ววันเล่า
บาร์ดเรย์ก็ทำได้เพียงแค่กดความคิดกบฏเหล่านั้นเอาไว้
มีข้อมูลที่เขาได้รวบรวมมาในตอนที่เขาบริหารอาณาเขตของอาณาจักรคัลลามอร์ให้มีประโยชน์มากยิ่งขึ้น
ชาวเมืองทุกคนกำลังล้มตายเพราะถูกทารุณ
แถมยังไม่สามารถหยุดพักได้
ส่วนทหารที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งการฝึกนั้น
ก็จะถูกส่งไปอยู่นอกกำแพงที่แสนอันตรายเพื่อทำงานซ่อมแซม
เมื่อเวลาผ่านไป
20
วัน เหล่าศัตรูก็เตรียมตัวสำหรับการต่อสู้เสร็จสิ้นแล้ว
จำนวนทหารของปราสาทคราตั้น
: 620 คน
ระเบียบวินัย
: พวกเขาอาจจะเข้าร่วมสงครามเพราะความหวาดกลัวต่อกษัตริย์ของพวกเขา
ระดับขวัญกำลังใจ:
ต่ำ
เหล่าศัตรูมุ่งหน้าสู่ปราสาทเพื่อปะทะกับเหล่าทหารที่มีกำลังต้านทานที่แข็งแกร่ง
ขณะที่พวกเขาโยนก้อนหินและยิงธนูลงมา
พวกเขาก็ต่อสู้กับศัตรูที่ไต่ขึ้นมาบนกำแพงไปด้วยเช่นกัน
ช่วงเวลาภารกิจของบาร์ดเรย์กำลังถูกถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีถ่ายทอดเกมทุกๆสถานี
“และนี่คืออีกครั้งครับ
ที่เขาได้สังหารหมู่คนพวกนั้นเหมือนว่าพวกเขาเป็นพวกมอนสเตอร์!”
ตอนนี้เขากำลังแสดงความแข็งแกร่งอันเหลือล้นที่มากขึ้น
เมื่อเทียบกับความสามารถในการต่อสู้ที่เขาเคยแสดงให้เห็นในสนามรบเมื่อก่อนหน้านี้
“บรรดาเหล่าทหารที่ไม่เหมาะสำหรับการสู้รบได้แสดงทักษะต่อสู้อันยอดเยี่ยมออกมาแล้วครับ”
เหล่าทหารกำลังรุดหน้าเข้าไปหาบาร์ดเรย์และคอยสกัดเขาให้อยู่กับที่แทนที่จะยอมสละตัวเอง
แม้ว่าพวกเขาจะถอยหลังกลับไปเล็กน้อยเพราะไม่ต้องการให้ได้รับบาดเจ็บ
ขอเพียงแค่พวกเขาฆ่าเจ้าเมืองได้ ก็จะจบการต่อสู้ครั้งนี้ได้เช่นกัน
มันอาจจะทำให้พวกเขาถูกฆ่าหรือว่ามีชีวิตรอดกลับไปก็เป็นได้
ท้ายที่สุด
บาร์ดเรย์ก็ปลอดภัยและยังสามารถรักษาปราสาทคราตั้นเอาไว้ได้
สถานที่ที่จะกลายเป็นตำนานบทใหม่ หน้าต่างสถานะปรากฏขึ้นและเขาก็ได้รับหอกสายฟ้าและเซทชุดเกราะสายฟ้ามาครอบครอง
ภารกิจอัศวินทมิฬของเขาได้ก้าวสู่ขั้นต่อไปแล้ว
แน่นอนว่าในตอนที่บาร์ดเรย์ตอบรับภารกิจนี้
มันไม่ได้ถูกฉายภาพผ่านการถ่ายทอดสด
“เหล่าอัศวินเอ๋ย
ความโหดร้ายคงไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นเหตุที่กระทำเพื่อความสงบสุขได้ สำหรับดาบแห่งอัศวินทมิฬของเจ้า
จักมีอสูรกายตนหนึ่งปรากฏตัวใกล้เหมืองเมลเบิร์น (Melbourne)
ณ เมืองป้อมปราการเทรพีค หากเจ้าถือดาบของเจ้าไว้ เจ้าก็จะสามารถเรียนรู้ได้ว่าวิชาดาบนั้นคือการทำลายล้าง
เพื่อที่จะปลุกอสุรกายตนนี้ขึ้นมา เจ้าต้องตามหาอัญมณีจากผู้เขย่าปฐพี (The
Earth Shaker)”
บาร์ดเรย์หัวเราะอย่างเยือกเย็น
“เหมืองเมลเบิร์น…..มันอยู่บนอาณาเขตของพวกกิลด์ราชสีห์ทมิฬหนิ”
***
“ว้ายยย”
เบลล็อตกำมือทั้งสองข้างของเธอแน่น
ภูติเอลลิออนต่างสวมเสื้อผ้าและหมวกปีกกว้างสีเขียวสด
ที่ทำให้พวกเขาดูน่ารักน่าเอ็นดูมากจริงๆ
“น่ารักจังเลย”
เธอกระพริบตาปริบๆขณะที่ไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไงกับสิ่งน่ารักน่าชังพวกนี้
เพราะว่าเธอเองก็เป็นคนที่ค้นพบเหล่าเอลลิออนพร้อมกันกับวีด
เธอจึงได้รับรางวัลที่คล้ายๆกัน
ในฐานะจินตกวี
เธอจะกลายเป็นคนแรกที่ได้ร้องเพลงเกี่ยวกับเอลลิออน และด้วยเพลงนี้
เธอก็จะได้รับค่าชื่อเสียงมากมายที่สามารถทำให้เธอดึงดูดผู้ชมได้มากยิ่งขึ้นด้วย
ตั้งแต่วันที่ยิ่งใหญ่แห่งการผจญภัยของพวกเขาที่ได้ออกเดินทางไปยังเขตลาส
ฟาลังคซ์ มันทำให้เธอยืนหยัดได้จนถึงทุกวันนี้
วีดโน้มตัวลงไปหาเอลลิออนตัวหนึ่งและล้มตัวราบลงไป
ทีแรกเขาคิดว่ามันมีอยู่แค่ตัวเดียว
แต่ภายในพุ่มไม้มีพวกเขามากกว่า 30 ตัว
“สวัสดี”
วีดเอ่ยปากทักทายพวกเขา
ในช่วงยุคของจักรพรรดิเกฮา
วอน อาเพ่น มีประติมากรรมสลักชีพมากมายที่อยู่ในยุคทองแห่งการแกะสลัก
เพราะว่าเขาได้ค้นพบหนึ่งในเผ่าพันธุ์ประติมากรรมสลักชีพ
เขาก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่แสดงอาการตื่นเต้นออกมา
-มนุษย์นิ
-เขาจ้องพวกเราอยู่
-เรากลับไปซ่อนตัวดีไหม?
-ท่าทางเขาดูไม่น่าไว้ใจเลย
ข้าคิดว่าเขาเป็นคนเลวแน่ๆ
จากการปรากฏตัวของพวกก๊อบลินพวกเขาไม่ได้วิ่งหนีไป
แต่เมื่อพวกเขามองไปที่วีด กลับดูเหมือนกำลังพยายามจะวิ่งหนีไปซะงั้น
แต่ถึงกระนั้น
พวกเขาตัวหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า
-ดูเจ้าพวกนั้นสิ
พวกเขาเหมือนกับพวกเรา
-พวกเขาดูเหมือนรูปปั้นที่เด็กปั้นขึ้นมาเลย
เหล่าเอลลิออนเดินออกมาและกระโดดขึ้นๆลงๆบนเจ้าเหลืองอย่างร่าเริง
แถมยังเอาหน้าเข้าไปถูตัวของเจ้าพวกไวเวิร์นอีก
“มอออออออออ พวกเขาดมข้า”
เจ้าเหลืองและพวกไวเวิร์นรู้สึกจั๊กจี้จึงรีบสั่นร่างกายของพวกมัน
เจ้าวิหคเงินรีบกระโดดหนีขณะที่มองไปยังภูติจิ๋วที่ดูใสซื่อพวกนั้น
จากนั้นก็บินหนีไปอยู่บนกิ่งไม้เพราะว่าพวกเขายิ้มใส่มัน
วีดยกเอลลิออนตัวหนึ่งขึ้นมาด้วยนิ้วของเขา
“หน้าต่างข้อมูลเอลลิออน!”
-ท่านได้ตรวจดูประติมากรรมสลักชีพ
|
ท่านไม่สามารถตรวจดูรายละเอียดบางอย่างได้
|
ชื่อ: เอลลิออน รอนนี่
|
เผ่าพันธุ์:
ภูติ
|
สิ่งที่ชอบ:
ธรรมชาติ
|
เลเวล: 51
|
หน้าที่หลัก:
ผู้นำการดื่มหยาดน้ำค้าง
|
ฉายา:
คนเสเพลที่ชอบแอบออกไปเที่ยว
|
ค่าชื่อเสียง:
2
|
สิ่งมีชีวิตที่สร้างขึ้นมาโดยจักรพรรดิเกฮา
|
พวกเขาเก่งกาจในเรื่องการทำสวนและยังมีความสามารถในการขุดแร่อีกด้วย
|
พวกเขาหลงรักในเสียงเพลงและศิลปะ
|
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีทักษะการต่อสู้ที่ด้อย
แต่ในสายตาของคนจิตใจต่ำทรามไม่สามารถมองเห็นพวกเขาได้
|
+ไม่ทราบ
|
+ไม่ทราบ
|
วีดมองดูเจ้าเอลลิออนใกล้ๆด้วยตาของเขา
ขณะที่เขามองมันใกล้ๆ
มันก็ยิ่งดูเหมือนกับเด็กที่ใสซื่อบริสุทธิ์
มันคือภูติสาวที่แต่งตัวอย่างกับเด็กน้อย
-ปล่อยข้านะ
วีดวางเอลลิออนลงกับพื้น
ทันใดนั้น
ก็มีเอลลิออนมารวมตัวกันเป็นกลุ่ม จนกลายเป็นฉากกลุ่มของสิ่งมีชีวิตจิ๋ว 100 ตัวมายืนอยู่ล้อมรอบวีดเป็นวงกลม
วีดและเบลล็อตไม่ได้วิ่งหนีไปขณะที่พวกประติมากรรมสลักชีพทำเรื่องแปลกๆ
-ข้าจะให้เจ้ารู้บางอย่างเกี่ยวกับพวกเรา
พวกเขาได้ยินเสียงของเหล่าเอลลิออนดังออกมาพร้อมๆกัน
จากนั้นก็มีภาพๆหนึ่งไหลเข้ามาในสายตาของวีด
***
ตั้งแต่การสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิเกฮาผู้ที่รวมทวีปเวอร์เซลเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว อารยธรรมแห่งจักรวรรดิอาเพ่นก็ถึงคราวล่มสลาย
เนื่องจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างเด็กๆของพระองค์และพวกอัศวิน
จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ก็พังทลาย เหล่าประติมากรรมสลักชีพแต่ละตนก็จำต้องจากไป
“ออกไปตามหาดินแดนใหม่เพื่อใช้ชีวิตอยู่กันเถอะ…..”
“วันที่ศิลปะและวัฒนธรรมเบ่งบานขึ้นอีกครั้งบนทวีปจะต้องมาถึง”
“ขอให้ความสงบสุขอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป”
เหล่าประติมากรรมสลักชีพที่จากไปเพราะจักรวรรดิได้ล่มสลาย
ก็ต้องประสบพบเจอกับอันตรายมากมายและต้องอยู่แบบหลบๆซ่อนๆภายในทวีปแห่งนี้
ส่วนเหล่าคนแคระที่อาศัยอยู่ในโลกใต้พิภพที่ลึกเสียยิ่งกว่าเมืองใต้ดิน
ก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและอ้อนวอนต่อเหล่าทวยเทพ
พวกเขาไปตามท้องทะเล
เกาะใหญ่ๆทั้งหลาย บนภูเขา และป่าดงพงไพรมากมายหลายที่ที่พวกมนุษย์ยังไม่ค้นพบ หรือแม้แต่ตามบึงตามหนองน้ำพวกเขาก็ไป
แม้ว่าเหล่าประติมากรรมสลักชีพทั้งหลายที่องค์จักรพรรดิอาเพ่นสร้างขึ้นมาจะเป็นพวกยึดติด
พวกมันก็กระจัดกระจายแยกตัวกันออกไป
ส่วนพวกเอลลินออนที่เคยรับหน้าที่ดูแลไร่สวนและขุดเหมืองแร่ของจักรวรรดิก็ต้องพลอยไปอยู่ตามสระน้ำและทะเลสาบ
แม้จะปราศจากซึ่งทักษะการต่อสู้
พวกมันก็ยังมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสิ่งต่างๆ
พวกมันปรับตัวให้เข้ากับภูเขากลมกลืนไปกับก้อนหินและผืนดิน
ขณะที่ต้องคอยหลบหลีกพวกมอนสเตอร์ จนทำให้มีชีวิตอยู่ได้นานขนาดนี้
***
[เราเฝ้ารอคอยวันที่ประติมากรผู้ที่จะเป็นทายาทขององค์จักรพรรดิอาเพ่นมาพบพวกเรา]
ถึงอย่างไรก็ยังมีถ้อยคำบอกกล่าวที่ดูเป็นมิตรโผล่ออกมา
วีดก็เลยไม่ได้รู้สึกแย่มากนัก
คำพูดแบบนั้นทำให้เขานึกถึงตอนที่ฝุ่นเข้าตาของเขา
‘ภารกิจปรมาจารย์แห่งประติมากรรม
คงเป็นเพราะว่าฉันค้นพบเมืองรัทเซเบิร์กซินะ
ค่าชื่อเสียงของฉันในฐานะประติมากรผู้สร้างประติมากรรมถึงได้มีผลเชิงบวกแบบนี้
แถมยังกระจายข่าวออกไปในแต่ละเผ่าพันธุ์อีก เมื่อก่อนตั้งแต่ตอนที่ฉันเลือกทักษะประติมากรรมประทานชีพ
ฉันก็อยากจะเจอกับเผ่าพันธุ์ประติมากรรมสลักชีพพวกนี้มากจริงๆ’
-เรามีชีวิตที่ยาวนานกว่าพวกเอลฟ์ซะอีก
แต่ถึงกระนั้นความแข็งแกร่งของพวกเราก็ยังอ่อนด้อยมาก เพื่อที่จะกลับไปเป็นร่างเดิมของพวกเรา
เราจำเป็นต้องใช้พลังของไพลินแห่งเมลเบิร์น
วีดผงะถอยหลังไปด้วยร่างกายที่สั่นเทา
“เดี๋ยวก่อน
พวกเธอคงไม่ได้หมายถึง…..”
-ท่านจะสามารถไปเก็บไพลินนี้มาทำเป็นประติมากรรมและมอบให้พวกเราได้ไหม?
ตริ้ง!
เหล่าเอลลิออนปรารถนาพลอยไพลิน
|
ภายในเทือกเขาไฮเนฟแห่งราชอาณาจักรทัลเลน
มีป้อมปราการที่มนุษย์สร้างขึ้นมาชื่อว่า ป้อมเทรพีค
|
ป้อมปราการนี้คอยเป็นสิ่งปกป้องเหมืองเมลเบิร์นจากพวกมอนสเตอร์และภัยคุกคามจากราชอาณาจักรอื่นๆ
|
ขณะที่วิญญาณที่โกรธเกรี้ยวสิงอยู่ภายในเหมือง
นี่จึงเป็นสถานที่ที่ท่านเองก็สามารถเข้าไปขุดไพลินที่ดีที่สุดเพื่อสร้างประติมากรรมได้เช่นกัน
|
ระดับความยาก:
ภารกิจปรมาจารย์แห่งประติมากรรม
|
รางวัลภารกิจ:
ความภักดีของเหล่าเอลลิออน
|
ข้อจำกัดการทำภารกิจ:
ทักษะแกะสลักขั้นสูงเลเวล 8 หรือมากกว่า
|
ต้องใช้ทักษะขุดเหมือง
|
ต้องเป็นผลงานประติมากรรมไพลินระดับแมคนั่ม
|
เหมืองแร่เมลเบิร์นขึ้นชื่อว่าเป็นคลังสมบัติที่ใหญ่ที่สุดของทวีปที่มีแร่เหล็กและแร่ไพลินอยู่มากมาย
หากใครที่เป็นเจ้าของเหมืองแร่นี้
คนๆนั้นก็จะได้รับความมั่งคั่งและอำนาจมหาศาล
เมื่อก่อนที่แห่งนี้เคยมีสงครามระหว่างกิลด์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดเกิดขึ้น
มีฉายาว่าเป็นป้อมปราการโอเด็นอันโด่งดัง
ปัจจุบันนี้
ดินแดนแห่งนี้เป็นสมบัติของกิลด์ราชสีห์ทมิฬ
-พวกเราเองก็มีชีวิตอยู่มานานมากแล้ว
เราคิดถึงศิลปะและวัฒนธรรมของจักรวรรดิอาเพ่นมากๆ หากท่านตัดสินใจที่จะสร้างประติมากรรมนี้เพื่อพวกเรา
ข้าก็จะเชื่อในคำพูดของท่าน ถ้าท่านมอบผลไม้สดๆให้กับดวงวิญญาณ พวกเขาจะไม่ต่อสู้เลย
วีดพยักหน้า
“ถ้างั้น
ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องสร้างประติมากรรมหรอก รออย่างสบายใจเถอะ”
ท่านได้ตอบรับภารกิจแล้ว
|
-ขอบคุณท่านมาก
“ไม่ต้องหรอก
ฉันทำสิ่งที่ฉันสามารถทำได้เพื่อพวกเธอ….”
ภารกิจปรมาจารย์แห่งประติมากรรม
เขาได้มอบความพยายามเพื่อทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเหล่าเอลลิออน
เพราะว่าเขาอาจจะได้รับผลตอบแทนมากถึงสิบเท่าจากความพยายามของเขาก็เป็นได้
จบเล่ม
ผู้แปล :
Cole’s Myth
Editor : แอดชิน เพจ
เราอ่านนิยายแปล
อ่าวจะได้ไฟว์กันแล้ว
ตอบลบขอบคุณครับ ขอบคุณที่ผู้แปลทุกๆท่านครับ
ตอบลบนึกสภาพออกเลย ตาเป็นไพลินแวววาวเลย
ตอบลบขอบคุณมากเลยนะคับ
ตอบลบบาเรกับวีคเจอกันแล้วใครจะชนะกันนะ
ตอบลบในที่สุดก็ได้พบกัน ไอ้ตัวร้ายน่าจะเป็นใครที่สำคัญในโลกจริงละครับ อย่าเป็นคนสร้างเกมส์แบบSAOก็พอ
ตอบลบจะได้ตีกันแล้วเย้ๆ
ตอบลบเส้นทางเควสมาบรรจบกันแล้ว
ตอบลบขอบคุณฮ่ะ
ตอบลบได้เจอกันแน่ 555
ตอบลบดาบทมิฬ vs ประติมากร
ความมันส์จะบังเกิด...
ตอบลบขอบใจหลายๆเด้อออ