เล่ม
38 ตอนที่ 1 : ลูกสมุนที่แสนจะวุ่นวาย แปลโดย Rangsima
Takoyaki
พวกมอนสเตอร์กำลังเดินลาดตระเวนไปรอบๆ
ซากปรักหักพังบาร์เรน
และยังมีพวกซอมบี้ที่ไม่ค่อยอันตรายนักกำลังเดินไปมาราวกับว่าพวกมันนั้นไร้ซึ่งวิญญาณ
‘เอาล่ะ..ดูเหมือนว่าพวกมันจะเลเวลประมาณ300 นะ
แต่ว่าทำไมดูเหมือนจะมีรังสีอะไรบางอย่างทีน่าสงสัยแถวๆนี้ กัน’
วีดนั้นกำลังซ่อนตัวอยู่หลังหินก้อนหนึ่งและคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับมอนสเตอร์พวกนั้น
ลักษณะของพวกมอนสเตอร์เลเวลสูงๆ
มักจะแสดงออกมาอยู่เสมอ
ยกตัวอย่างเช่น
ผิวของพวกมันจะเป็นสีที่ดูพิเศษหน่อยหรือไม่ก็รูปร่างหน้าตาน่ารังเกียจหน่อย
แต่ก็ยังคงปล่อยพลังที่ดูสะพรึงออกมาเสมอ
แต่ถึงอย่างนั้นมอนสเตอร์ที่อยู่ที่นี่ก็มีรูปร่างหน้าตาที่น่ารังเกียจอยู่ดี
พวกมันมีขนาดใหญ่และดูดุร้าย
แต่ถึงอย่างนั้นก็ดูเหมือนว่าพวกมันจะน่ารังเกียจด้วยเวทย์มนต์ภายใต้อำนาจของวิหารเอ็มบินยูที่ได้ไหลวนเวียนไปมาในทุกๆที่
ไม่ว่าจะสัดส่วนของพวกมันตั้งแต่หัวไปยันแขนก็ดูไม่ปกติสักนิด
และพวกมันก็ยังขู่กรรโชกแปลกๆ
‘ถึงเลเวลพวกมันจะค่อนข้างต่ำ แต่จำนวนนั้นไม่น้อยเลยทีเดียว’
แล้วจู่ๆ
สิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจนั้นก็กระโจนขึ้นมา
เคี้ยกกก!
วีดสังเกตเห็นอีกาที่กำลังบินมาทางซากกำแพงจากระยะไกล
ครั้งแรกที่ได้เห็นมัน
อีกาตัวนั้นก็ดูปกติดีแต่ดูเหมือนว่ามันจะมีขนาดที่ใหญ่มาก
และจากนั้นไม่นานขนของมันก็ค่อยๆ
หลุดออกจากตัวจนดูคล้ายกันว่ามันเป็นนักอินทรีย์หัวขาว
จากนั้นเขี้ยวที่อยู่ในปากของมันก็ยาวออกมาราวกับมันเป็นค้างคาวแวมไพร์แถมกรงเล็บของมันก็ยังยื่นยาวออกมา
และเมื่อมันบินมาถึงกำแพงนั้นรูปร่างของมันก็คลับคล้ายคลับคลาราวกับว่ามันเป็นอีกาที่ผสมผสานกับสุนัข
แถมมันยังปล่อยออร่ากระจายไปรอบๆ พื้นที่แถวนั้น
‘มันค่อนข้างที่จะอันตรายไปสักหน่อย แต่นั่นก็เป็นเพราะรังสีจากวิหารเอ็มบินยูนั่น
แต่ก็เอาเถอะ ถึงจะอันตรายแต่มันเป็นอะไรที่แปลกดีสำหรับโลกนี้’
วีดซุ่มรออย่างเงียบๆ
ที่มุมนึงของก้อนหิน
พวกมอนสเตอร์นั้นเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ
และก็คอยเอาจมูกดมกลิ่นฟุตฟิตไปด้วย
ดังนั้นมันจึงเป็นหลักฐานที่อาจถูกจับได้ฉะนั้นจึงค่อนข้างยากมากที่จะข้ามกำแพงไปโดยไม่ถูกจับซะก่อน
‘ฉันต้องจัดการตัวที่อยู่ใกล้ฉันให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เพื่อที่จะได้ไม่ไปกระตุ้นตัวอื่นๆ’
มอนสเตอร์พวกนี้มันไม่ได้เคลื่อนไหว
หรืออยู่กันเป็นกลุ่มแบบพวกออร์คและก็อปลิบ
และจะรวมตัวกันเฉพาะที่มีการรบเท่านั้น
พวกมันถูกครอบงำด้วยพลังแห่งความมืดมาเต็มรูปแบบดังนั้นมันจะแสดงตัวเป็นศัตรูในทันทีด้วยสัญชาตญาณ
‘ฉันเองต้องค่อยๆ เฝ้ารอโอกาสและเคลื่อนไหวให้ช้าๆเข้าไว้
สอดแนม และเคลื่อนที่ ซ่อนตัว
และเคลื่อนที่อีกครั้ง ทำไปแบบนี้ซ้ำๆ
ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกลูกสมุนของฉันเองจะทำแบบนี้ได้หรือเปล่า’
วีดพยายามที่จะทำความเข้าใจกับภูมิประเทศและบรรยากาศโดยรอบของที่นี่
เขามีเวลาเพียงแค่ 10วันเท่านั้น
สำหรับภารกิจนี้และมันเป็นเวลาที่ค่อนข้างน้อยมาก
นี่มันเป็นฉากสุดท้ายของการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ของเขาเพื่อให้ได้มาซึ่งภารกิจเทคนิคแกะสลักลับ!
ภารกิจมักจะยากขึ้นเรื่อยๆ
ตามแต่ละขั้นตอน และในตอนนี้ก็มีเวลาไม่มากนัก
ความพยายามของเขาที่ผ่านมา 10
วันนั้น ราวกับว่าจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดน้อยที่สุด
มันเหมือนเด็กนักเรียนคนนึงที่กำลังทบทวนบทเรียนอย่างหนักเพื่อที่จะเตรียมสอบในวันพรุ่งนี้!
‘ไม่ว่ายังไงก็ตาม ฉันต้องไปต่อ
ฉันต้องขึ้นไปให้สูงกว่านี้เพื่อที่จะได้เห็นภูมิทัศน์โดยรอบและสิ่งที่อยู่ใกล้กับกำแพงนั้น...’
ทว่ามอนสเตอร์ตัวนึงกำลังค่อยๆ
เดินผ่านไปอย่างช้าๆ
วีดเฝ้ารอเพื่อที่จะให้มันเดินผ่านไป
และจากนั้นเขาก็เริ่มจัดการจู่โจมมันด้วยดาบไฟบรรลัยกัลป์
หากว่าพวกอัศวินนั้นเริ่มที่จะจู่โจมจากทางด้านหลังเขาต้องยอมรับที่จะต้องโทษด้วยการสูญเสียค่าชื่อเสียงและค่าเกียรติยศ
และอาจจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอัศวินที่ที่ชอบแทงข้างหลัง
แต่ก็แน่ละว่าพวกสายอาชีพอื่นๆ ไม่ได้แคร์นักในเรื่องนี้
ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถใช้วิธีแทงข้างหลังได้อย่างสบายใจ
และพวกโจรก็มักจะเป็นอาชีพที่มักจะแทงข้างหลังปกติ!
การโจมตีของคุณติดคริติคอล
(พลังดาเมจ*2)
|
เคี๊ยกก!
จากนั้นมอนสเตอร์ตัวนั้นก็ตายในทันที
ด้วยพลังทำลายล้างจากระดับเลเวลของวีดนั้นจึงส่งผลให้มอนสเตอร์ที่มีพลังธรรมดาไม่สามารถที่จะต้านการโจมตีที่รุนแรงได้
เคี๊ยกก!
คว๊ากก!
เคี๊ยกกกก!!
จากนั้นวีดก็เริ่มที่จะจัดการกับพวกมอนสเตอร์ที่เคลื่อนที่เข้ามาใกล้ๆ
เขา ทีละตัว
และในพื้นที่กว้างนั้นเหล่ามอนสเตอร์
6-8 ตัวก็ถูกวีดจัดการไปได้ด้วยความรวดเร็วในการบุกโจมตี
“หืม!!”
“ข้า..ข้าได้ยินเสียงอะไรสักอย่าง”
และถ้าหากว่าพวกมอนสเตอร์เริ่มสังเกตได้ถึงความผิดปกติพวกมันก็จะเริ่มสังเกตเห็นและรวมตัวกัน
เป็นเช่นนั้นเมื่อไหร่วีดก็จะรีบหาที่กำบังตัวเองอีกครั้งและซ่อนอยู่ประมาณ
10 นาที
พวกมอนสเตอร์แถบนี้มันไม่ค่อยจะมีสติปัญญานักดังนั้นพวกมันจึงมีการเคลื่อนที่ตามสัญชาตญาณเท่านั้น
เมื่อเกิดเสียงบางอย่างผิดปกติพวกมันก็มักจะรวมตัวกันราวกับฝูงซอมบี้
เขามักจะจงใจทำให้เกิดเสียงแถวซากกำแพงจากนั้นก็รีบเคลื่อนที่หนีไปด้วยความเงียบที่สุด
สัญชาตญาณของมอนสเตอร์พวกนี้นั้นมักจะหายไปก็ต่อเมื่อพวกมันกินหรือถูกฆ่าเท่านั้น
‘ด้วยพื้นฐานง่ายๆ นั้นทำให้ที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ล่าที่ค่อนข้างจะง่าย’
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นไม่ว่ายังไงเขาเองก็ต้องรอบคอบ
เพราะอย่างไรสิ่งมีชีวิตที่เคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณก็ยังเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวอยู่ดี
พวกมันมักจะไร้ซึ่งความนึกคิดและสติพร้อมจะเข้าจู่โจมในทันที
หากเขาไม่ระวังจนทำให้เกิดเสียงดังขึ้นมาเมื่อสังหารมอนสเตอร์ตัวนึงจากนั้นตัวอื่นๆ
ที่เหลือก็จะเข้ามารุมทึ้งในทันที
ไม่มีอะไรที่จะสามารถการันตีได้เลยว่าพวกลัทธิเอ็มบินยูจะไม่มาตรวจสอบความผิดปกติ
หากเขาไม่รู้เท่าทันถึงภูมิประเทศแถบนี้ดีเผลอๆ
เขาอาจจะต้องเข้าสู้กับพวกอัศวิน
‘ฉันต้องคำนึงถึงสถานการณ์ที่อาจจะเลวร้ายที่สุดในกรณีนี้’
เขาไม่ได้กลัวที่จะต้องสู้ในสถานการณ์นี้แต่วีดไม่ได้คิดที่จะสู้อย่างจริงจัง
เพราะมอนสเตอร์แถวนี้ไม่ใช่เป้าหมายของเขา
‘ฉันต้องลองตรวจสอบดู!’
จากนั้นวีดก็ค่อยๆ
ปีนบันไดขึ้นไปครึ่งนึงของป้อมปราการ (บาเรียน่าจะหมายถึงกำแพง
กำแพงรอบวิหารน่าจะหมายถึงป้อมปราการ (เดาเองงับ))
คุณได้เดินทางมาถึงกำแพงที่ไม่รู้จักแล้ว
กำแพงนี้อาจทำให้รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
เมื่อมอนสเตอร์ถูกยั่วยุค่าพลังชีวิตจะลดลง
และเมื่อพลังชีวิตคุณต่ำกว่า
50000 คุณจะกลายร่างเป็นมอนสเตอร์ในทันที
พลังชีวิตลดลง 23 เปอร์เซ็น
และเมื่อพลังชีวิตลดลงเกินครึ่งจะส่งผลต่อชีวิตของคุณ
|
นี่มันเป็นการลงโทษที่คาดไม่ถึง
“อื้อหืม..แย่ชะมัด
นี่มันเลวร้ายที่สุด ”
วีดร้องครวญออกมาโดยอัตโนมัติเมื่อเขาผ่านกำแพงไป
ใต้ซากปรักหักพลังบาร์เรนนี้มีแต่มอนสเตอร์อยู่เต็มไปหมด
น้ำในแม่น้ำนั้นก็ได้ไหลไปในทิศของทางวิหารเอ็มบินยู
แถมยังมีซากศพลอยอยู่ในแม่น้ำด้วย
เลยทำให้พวกมอนสเตอร์ไปรุมทึ้งกันอยู่บริเวณนั้น
พวกมันไปรุมตอมสายน้ำที่เต็มไปด้วยสีดำราวกับมดตอมน้ำผึ้ง
และดูเหมือนจะมีมอนสเตอร์เป็นแสนๆ
ตัวริมฝั่งแม่น้ำนั่น
พวกมันหลั่งไหลไปอยู่ตรงที่ที่ดีที่สุด
และดูเหมือนว่าชนิดของพวกมันแต่ละสายพันธ์นั้นจะเยอะเกิน
จนไม่สามารถแยกสปีชีส์ของพวกมอนสเตอร์ในทวีปทั้งหมดมากล่าวถึงได้
วีดสามารถที่จะบินข้ามไปก็ได้
แต่เขานั้นมีความจำเป็นที่จะต้องข้ามแม่น้ำนี้ไป
ที่แม่น้ำนั้นมีหมอกพิษลอยตัวขึ้นมากระจายอยู่เต็มไปหมด
และดูเหมือนว่ามอนสเตอร์บางตัวที่พยายามจะข้ามไปฝั่งนั้นได้ตกลงไปในน้ำเน่าๆ
นั่นก็เพียงเพราะได้สัมผัสเข้ากับหมอกพิษที่ลอยอยู่
และนอกเหนือจากอุปสรรคต่างๆ
เหล่านี้แล้วการที่จะไปถึงวิหารเอ็มบินยูได้ก็เป็นปัญหาเช่นกัน
อย่างเช่นเนินทรายตรงป้อมปราการที่สูงกว่าที่อื่นๆ
และกำแพงก็ไม่ใช่แค่หินแต่ยังเสริมเหล็กเอาไว้อีกด้วย
นั่นจึงทำให้กำแพงยิ่งมีความแข็งแกร่งและทนทานมากขนาดที่การจู่โจมจากยักษ์ก็คงยังไม่อาจสามารถทำอะไรได้
และปัญหาอีกอย่างนึงก็ยังมีป้อมสังเกตการณ์ตามเขตแดนแต่ละจุด
กองกำลังทหารที่เฝ้าระวังอย่างเข้มงวดตามจุดต่างๆ
ในป้อมปราการที่สูงระฟ้าขนาดนั้นทำให้เขาเองต้องเหงื่อตกในการที่จะหาวิธีฝ่าเข้าไปได้
ภายใต้การสังเกตการณ์เฝ้าระวังที่เข้มงวดในระดับนี้
วิหารเอ็มบินยูนี้ราวกับสถานที่ผลิตมอนสเตอร์สายพันธุ์ใหม่ๆ
โดยที่ภายในนั้นมีสถานที่สำหรับฝึกพวกมันโดยเฉพาะ
และถ้าหากเขาถูกจับได้ก็จะพบเข้ากับการโดนรุมทึ้งโจมตีโดยฝูงมอนสเตอร์แน่ๆ
“ตอนนั้นฉันก็ควรที่จะไปจัดการเรื่องพินัยกรรมต่างๆ ของฉันที่ธนาคารซะก่อน”
เขารู้สึกเหนื่อยยากยิ่งนักในการที่ต้องต่อสู้อย่างยากเข็ญในการมีชีวิตอยู่ในประเทศนี้
“ถ้าฉันถูกหวยสักสามครั้งก็คงไม่ต้องมามัวกังวลอะไรแบบนี้สินะ”
นาทีนี้วีดก็ได้แต่คิดไร้สาระไปทั่ว!
ถึงเขาจะค่อนข้างขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด
และตอนนี้ยังได้ประสบกับการจำกัดในหลายๆ
เรื่อง
การต้องทำงานอย่างยากเข็ญและหนักหนาสาหัสนั่นเป็นคำสาปของเหล่าคนจน
วีดเองค่อนข้างที่จะมั่นใจและภูมิใจในประสิทธิของตัวเองมาก
แต่เขากลับไม่แน่ใจว่าเขาจะสามมารถรับมือกับพวกวิหารเอ็มบินยูได้หรือไม่
อีกทั้งพวกมันยังมีศาตราวุธที่ร้ายกาจมาก ….เจ้ามังกรกลียุค
มันเป็นมังกรที่ดุร้ายและขึ้นชื่อที่สุด
มีพลังที่ทรงอำนาจมาก ความอันตรายของมันนั้นขึ้นชื่อว่าไม่มีใคร หรือมังกรหน้าไหน
อยากปะทะด้วย
‘ยุบหนอ พองหนอ ใจเย็นเข้าไว้ ยังไงก็ต้องมีทางเลือกบ้างล่ะน่า ในสิบวันนี้
ฉันต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ท่องไว้’
วีดสังเกตไปรอบๆ ทิศทางอื่นๆ
ปราการหินยังคงมีความยาวไปยังสุดลูกหูลูกตาทั้งซ้ายและขวา
วีดนึกสงสัยว่ามันจะยาวไปสุดถึงแค่ไหนกันแน่
แต่นั่นก็แค่ความสงสัย เขาไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่ามันยาวไปสุดแค่ไหนกันแน่
มีบ้างบางจุดที่พังทลายลง
และมอนสเตอร์ก็อยู่แถวบริเวณนั้นเป็นกระจุก
วีดมองไปยังทุ่งราบสีแดง
ถัดไปจากที่นั่นยังมีมนุษย์อีกมากมายที่อยู่ตามอาณาจักรต่างๆ
‘มองจากตรงนี้แล้ว ตัดสินจากดวงจันทร์และอาทิตย์
นั่นคือทุ่งราบแห่งความสิ้นหวัง’
ที่นั่นเชื่อมระหว่างทวีปกลางและตะวันตก
ใครก็ตามที่เขามายังดินแดนแห่งนี้ก็จะต้องพบกับความว่างเปล่า
เร่ร่อนไป เรื่อยๆ จนหมดลมหายใจ
มีการล่ำลือกันว่าที่นั่นมีดาบและเกราะระดับตำนานที่ถูกฝังอยู่เพราะนักผจญภัยที่ร่ำรวยได้เอาชีวิตของพวกเขามาทิ้งไว้ที่นั่น
นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมที่ราบแห่งความสิ้นหวังถึงได้เป็น 10
ในสถานที่ต้องห้ามของทวีป
“ไม่สิ ฉันจะมามัวฟุ้งซ่านอยู่ตรงนี้ไม่ได้”
เนื่องจากการผจญภัยในครั้งนี้นั้นได้ออกอากาศด้วย
เขาจึงจำเป็นต้องรักษาชื่อเสียงและล่วงลุแก่ภารกิจให้ได้
เพื่อส่วนแบ่งรายได้อันมหาศาล!
จริงอยู่ที่เขาสามารถหารายได้ได้จากการขายไอเทมต่างๆ
แต่แน่นอนมันไม่สามารถเทียบได้กับรายได้จากการออกอากาศเลย
ด้วยเงินมากมายในตอนนี้
วีดเริ่มที่จะชินกดับการมีฐานะและเขาไม่ต้องการที่จะกลับไปใช้ชีวิตอย่างอดอยากแบบในอดีตอีกแล้ว
เนื่องจากเขาเริ่มที่จะมีรายได้ที่มากกว่าเมื่อก่อน
ความฟุ่มเฟือยก็เลยแทรกซึมเข้าสู่ตัวเขาบ้างแล้ว
“ฉันในตอนนี้ไม่ได้เหมือนในอดีตอีกแล้ว
เมื่อใช้เงินเป็นค่าใช้จ่ายมันก็เริ่มเพิ่มขึ้น”
ครั้งนึงเขาเคยข้าวนึงคำกับแฮมเท่านั้น
แต่ในตอนนี้เขาเริ่มปรับระดับมากินอยู่แบบชนชั้นกลางบ้างแล้ว
เขาเริ่มอาบน้ำอุ่นที่ใช้หม้อต้มและซื้อผลไม้ตามฤดูกาลบ้างงแล้ว
ทั้งที่หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะกล่าวว่ามันช่างฟุ่มเฟือยเหลือเกิน
★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★
เวลาสิบวันนั้นจะว่าสั้นก็สั้น
ยาวก็ยาว
วีดใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงเคลื่อนที่ไปตามขอบป้อมปราการที่ผุพัง
จนในที่สุดก็ถึงแม่น้ำ
ด้วยความเงียบเชียบที่สุด!
“ฉันต้องมองหาทางต่อ”
หนทางเพื่อหลีกเลี่ยงพวกมอนสเตอร์, ทำลายหอนภาและกำจัดเจ้ามังกรกลียุค
“ฉันรู้แล้ว.... เรียกขานเดทไนท์แวนฮอว์ค!”
พลังงานเลวร้ายกีดขวางการเรียกขานของท่าน
|
อัศวินอเวจี แวนฮอว์คได้กลับสู่โลกดั้งเดิม
แวนฮอว์คและโทริ ได้กลับสู่ช่วงเวลาดั้งเดิมแล้ว
“พวกที่ใช้งานได้ก็ไปกันหมดแล้วทีนี้”
ในเมื่อตอนนี้วีดต้องการวิธีที่สุดที่จะนำทางเขาได้
คือ การหาอะเฮลลุน
“ฉันไม่อยากฆ่ามอนสเตอร์ตอนเดินทางต่อไปเรื่อยๆ ตอนนี้”
วีดตัดสินใจที่จะใช้ทักษะประติมากรรมจำแลง
แก้ง ๆ ๆ ๆ
ชิ้นส่วนต่างๆ
เริ่มที่จะคล้ายคลึงกันกับมอนสเตอร์แถวๆ นี้
ดวงตาข้างขวาที่มีขนาดผิดปกติ
และขากรรไกรที่งุ้มงอเข้าด้านใน
การวิ่งสี่ขานั้นค่อนข้างที่จะรวดเร็วดังนั้นเขาจึงทำให้ขาหลังนั้นมีกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์เป็นพิเศษ
ด้วยสิ่งนี้เขาจะสามารถหลบหลีกได้ไวที่สุดเท่าที่เขาต้องกการ
หูกว้างใหญ่จะทำให้เขาได้ยินเสียงทุกอย่างรอบๆ
คุณสร้าง เดอะโพนี่ เรียบร้อยแล้ว
ม้าโพนี่ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความฉาบฉวย
ช่างน่าเสียดาย
ที่โพนี่ไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้เนื่องจากมันขาดอิสรภาพในการใช้ชีวิต
ชิ้นส่วนที่ถูกสลักขึ้นโดยประติมากรที่เดินทางผ่านกาลเวลา
คุณค่าทางศิลปะ 30
ผลงานชิ้นนี้จะมอบคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่
คุณสมบัติพิเศษ:
ค่าโชคจะลดลง 65 เมื่อชื่นชมประติมากรรมนานเกิน 5 วินาที
|
ทักษะแกะสลักพัฒนาขึ้น
|
ทักษะความชำนาญด้านหัตถกรรมพัฒนาขึ้น
|
รูปแกะสลักและผลลัพธ์สุดพิเศษ
มันไม่ได้กินอะไรเลยดังนั้นเขาเลยสร้างให้มันผอมขึ้นมาเพื่อที่จะได้ไม่ดึงดูดสายตาของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
วีดได้สร้างผลงานที่มีความแปลกประหลานจากรูปร่างของมอนสเตอร์ที่อยู่รอบๆ
“ฉันผ่านร้อนผ่านฝนมามากมาย แน่นอนว่าฉันสามารถใช้เวลาในการแกะสลักมันให้ดี
กว่านี้ได้ แต่ก็นั่นแหละ
กิลด์เฮอร์มีสมันไม่ยอมปล่อยให้ฉันได้ใช้เวลาอย่างตามอำเภอใจหรอก
ชีวิตนั้นมันสั้นเกินไปที่จะมาเสียเวลาทำอะไรแบบนี้ ประติมากรรมจำแลง!”
ทักษะประติมากรรมจำแลงถูกใช้งาน
|
ความผูกพันจากประติมากรและรูปสลักนั้นแน่นหนาทำให้ประติมากรนั้นมีรูปร่างคล้ายคลึงกับผลงานของเขา
|
ในฐานะนักรบสุริยัน ร่างกายของเขาในตอนนี้จึงแข็งแกร่งและงดงาม
ในทันทีที่เขากลายร่างเป็นม้า
เขาก็สวมใส่อุปกรณ์ต่างๆ ของราชาซาลามานเดอร์ มันเจ๋งที่สุดแบบที่ใครก็ต้องอิจฉา
และวิธีการโจมตีที่ดุดันที่สุดของเขาในตอนนี้ก็คือการดีดขาไปด้านหลัง!
วีดเม้มปากท่าทางเดียวกันกับม้า
“อืม ตอนนี้ฉันเหมือนอยากกินแครอทตลอดเวลา ฉันว่าฉันเข้าใจความคิดของเจ้าอูฐแบคเทรี่ยนแล้วล่ะ”
เจ้าโพนี่นั้นยังคงเดินลงบันไดไปด้วยความระมัดระวัง
ขวับ
พวกมอนสเตอร์นั้นหันขวับมามองเขาทันที
ก่อนที่จะเบนหน้าหันไปในทิศทางอื่น
‘เจ้าอัปลักษณ์นั้นพวกเดียวกับเรานิ’
‘อิ๊ ไปไกลๆ อย่ามาใกล้ฉันนะโว้ยย’
วีดเดินต่อไปอย่างภาคภูมิใจ
★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★★
นักรบ-2
วีดได้มอบชีวิตให้กับเขา และต่อสู้ด้วยความภาคภูมิใจ
เมื่อตอนที่เขาเกิดมานั้น
มีศัตรูมากมายเข้ามาคุกคามความปลอดภัยในชีวิตของเขา และเมื่อสงครามเริ่มสงบลง
เขาก็ได้รับค่าเกียรติยศมากมายในขณะที่ติดตามวีด
เขามีความเชื่อมั่นเป็นอย่างมากในการที่จะมาต่อสู้กับวิหารเอ็มบินยูที่ซากบาเรนแห่งนี้
‘ฉันอยากที่จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้สั่งหารไฮพรีสเองกับมือ’
เขาเป็นผู้คุ้มกันและความภักดีของผู้ใต้บังคับบัญชาเขานั้นไม่เคยเป็นรองใคร
เขามาที่นี่โดยลำพัง
ถือดาบสั้นอย่างกล้าหาญในขณะที่จ้องมองศัตรู
“พวกแกทุกตัวเข้ามาเล้ย!”
เคี้ยกก ?
“ข้าคือนักรบสอง และข้าจะฆ่าพวกแกทุกตัวที่อยู่ที่นี่เลย”
เขาจงใจดึงดูดความสนใจของพวกมอนสเตอร์ทั้งหมด
ครืน กรร ครือ
และมันก็ได้ผลเมื่อเหล่ามอนสเตอร์นับร้อยตัวนั้น
รุมเข้ามาเพื่อที่จะโจมตีเขา
ในฐานะนักรบทะเลทรายผู้มีเกียรติ
นักรบ2 จะกำจัดมอนสเตอร์ในที่นี่ให้ราบคาบ
ขวานในมือขวาและหอกในมือซ้ายของเขานั้นโจมตีศัตรูอย่างต่อเรื่อง
และด้วยเสียงการปะทะที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
ก็เริ่มดึงดูดและเรียกเหล่ามอนสเตอร์ให้มาร่วมต่อสู้มากยิ่งขึ้น
คุณโดนโจมตี
พลังชีวิตลดลง
ภาวะอัมพาตเริ่มขึ้น
และคุณพยายามต่อต้านมัน
|
คุณกำลังโดนกัดที่ไหล่
ความเร็วในการโจมตีลดลง
คุณโดนโจมตีอย่างต่อเนื่อง
|
ถึงแม้เขาจะค่อนข้างมั่นใจในพลังของตัวเอง
แต่การต่อสู้อย่างต่อเนื่องสองชั่วโมงก็ทำให้พลังชีวิตลดลง
พิษและการโจมตีจากมอนสเตอร์สร้างความเสียหายให้กับตัวเขาเอง
เขาสามารถรับมือกับทหารได้เป็นพันคนด้วยตัวคนเดียว
แต่มอนสเตอร์พวกนี้ก็ดุดันเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ว่ามนุษย์จะมีทักษะการโจมตีที่ยอดเยี่ยม
แต่ด้วยการโจมตีเป็นกลุ่มของมอนสเตอร์ก็สามารถสร้างปัญหาได้
เพียงพวกมันปล่อยพิษ
ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันหลายตัวก็ยังวิ่งมายังจุดปะทะไม่หยุด
นอกเหนือจากมอนสเตอร์ที่ป้อมปราการ
ยังมีมอนสเตอร์จากแม่น้ำเน่าเปื่อยที่มีเลเวลถึง 400
อีกทั้งพวกมัน5-6 ตัวยังมาช่วยกันรุมทึ้ง
นักรบ2 อีกทั้งยังกินพวกมอนสเตอร์ตัวอื่นๆ ด้วยเพื่อที่จะให้มันแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“ในฐานะนักรบ ข้ายินดีที่จะตายในสงคราม”
เขาสามารถวิ่งหนีไปได้แต่ก็เลือกที่จะยืนหยัดในการต่อสู้ครั้งนี้
ความอาจหาญและจิตวิญญาณในการต่อสู้ที่จะไม่มีวันยอมแพ้แม้ศัตรูจะมีนับพัน!
นักรบสองที่กำลังใกล้จะตายก็ยังคงโจมตีมอนสเตอร์อย่างต่อเนื่อง
“ข้าไม่ไหวแล้ว แต่ก่อนที่จะตาย ข้าอยากที่จะได้พบกับจักรพรรดผู้ยิ่งใหญ่สักครั้งนึง”
และเมื่อพลังชีวิตของนักรบ 2
กำลังลดจนถึง 10 เปอร์เซ็น บางสิ่งบางอย่างก็ได้เกิดขึ้น
มีม้าโพนี่ตัวนึงวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดตรงมายังที่แห่งนี้
มีมอนสเตอร์ตัวใหม่มาอีกแล้ว
‘เจ้าหมอนี่ช่างนาสมเพช ฉันเพิ่งจะช่วยไปแท้ๆ
ยังไม่แม้แต่จะได้กินซุปสาหร่ายเลยด้วซ้ำ’ (ซุปในงานวันเกิด)
พุฮิฮิฮี่!
ความเร็วของเจ้าโพนี่นั้นเร็วมากอย่างน่าเหลือเชื่อ
เมื่อมาถึงจุดที่มอนสเตอร์รวมตัวกัน
เขาก็กระโดดข้ามหัวพวกมัน
ทุกครั้งที่ขาหน้าและหลังเคลื่อนไหว
ก็จะทำให้เขาเคลื่อนที่ไปได้ทีละหลายสิบเมตร
“ไป...ไหน”
มอนสเตอร์ตัวหนึ่งมาขวางทางของเขาเอาไว้
และจากนั้นเขาก็กระโดดข้ามหัวมันไปอีกครั้ง
“ยังหรอก ต้องสู้ ข้ายังไหว”
วีดยืนอยู่ตรงหน้าของเขา
ร่างกายของเขานั้นเต็มไปด้วยบาดแผลหลังการต่อสู้อันยาวนาน
ถ้าเขาได้รับการโจมตีอีกไม่เกินสองครั้ง
มีดของเขาจะแตกและสูญสิ้นการใช้งาน
เขาเป็นนักรบที่เก่งกาจก็จริงแต่ไม่อาจที่จะสู้โดยไร้อาวุธได้
วีดในรูปการจำแลงกายนั้นมองไปที่เขาและบ่นออกมา
“ ไอ้สถานที่นี่มันเต็มไปด้วยความโชคร้ายจริงๆ
จนฉันต้องมาทนอยู่ในร่างของม้า!”
พุฮุฮุฮี่!
“อะเอ๋ ? ท่าทางหยาบคายแบบนั้น
อย่าบอกนะว่าท่านจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่น่ะ?”
นักรบ2 มองกลับไปด้านหลัง
และพบว่าพวกเขานั้นถูกรายล้อมเต็มไปด้วยพวกมอนสเตอร์มากมาย
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาทางหลบหนีได้
ตอนนี้ทั้งนักรบ2และวีดน่าจะถึงคราวถูกฝังไว้ที่นี่แล้ว
จากนั้นเองที่วีดทำเสียงฮึดฮัดออกมาจากจมูกของโพนี่ก่อนที่เขาจะกระทืบขาหลังของตัวเอง
‘ฉันต้องเชื่อมั่นในพลังของเจ้าโพนี่’
พัค พุบ พั้ว!
เท้าของเขานั้นตะปบเข้าที่พื้นอย่างแรงที่สุด
จากนั้นเขาก็พุ่งไปในอากาศ
ความว่องไวและพลังนั้นทำให้เขากระโดดได้ถึง
4 หรือ 5
เท่า!
วีดที่เคลื่อนไหวได้สุดพิเศษราวกับติดปีกนั้นกระโดดข้ามหัวพวกมอนสเตอร์ไป
จากนั้นเขาก็ตีฝ่าออกไปจากวงล้อมของศัตรู
“ไล่ตาม”
“อย่าปล่อยมันไป!”
เหล่ามอนสเตอร์นั้นรีบไล่ตาม
จากนั้นการวิ่งมาราธอนของพวกมอนสเตอร์ก็เริ่มต้นขึ้น
วีดวิ่งไปตามแนวกำแพง
ก่อนที่จะใช้หูใบใหญ่ของเขาไปด้วย
เขาต้องคอบสังเกตและระแวดระวังการโจมตีที่ไม่คาดคิดจากมอนสเตอร์
เขาวิ่งข้ามมอนสเตอร์หลายตัวที่กีดขวางในขณะที่วิ่งผ่านซากปรักหักพัง
จากนั้นเอง 4
นาทีผ่านไปที่เขาได้พบกับหลุมเล็กๆ ใต้กำแพง
‘ตรงนี้’
วีดเข้าไปในอุโมงค์ โดยที่แบกนักรบ2
ไปด้วย
พวกมอนสเตอร์ที่ไล่ตามมาบางตัวไม่ค่อยมีความฉลาดนักก็วิ่งผ่าไป
“พะ พวกมันหายไปไหน”
“ข้าไม่รู้”
“ขะ ข้า หิววว”
พวกมอนสเตอร์ละความสนใจจากเหยื่อ
พวกมันก็เริ่มกลับไปเคลื่อนที่ล่องลอยราวกับซอมบี้หิวอีกครั้ง
วีดนั้นเริ่มเข้าใจธรรมชาติของมอนสเตอร์ที่นี่แล้ว
‘โง่ ช้า แต่ก็อันตราย’
เลเวลของพวกมันนั้นค่อนข้างที่จะสูงมาก
ไม่มีเหตุผลที่ราชอาณาจักรจะส่งกองกำลังมาเพื่อแลกกับความสูญเสียในการปราบปรามที่นี่
แม้กิลดเฮอร์มีส
หรือแม้แต่รูปร่างของเขาในตอนปกติก็ยังยากที่จะสามารถต่อกรกับพวกมันได้
พวกมันมีพลังชีวิตน้อยแต่ก็โจมตีโดยไม่ห่วงชีวิตเช่นกัน
ดังนั้นพวกมันจึงมีความอันตรายมาก
‘ถึงจะอย่างนั้น ฉันจะมาตายไม่ได้เด็ดขาด’
ถ้าเขาต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์
จริงอยู่ว่าอาจหลบหนีได้
แต่สถานการณ์มันจะยุ่งยากขึ้นทันที
ถ้าพวกอัศวินและนักบวชของเอ็มบินยูปรากฏตัว
มันอาจจะเป็นพลังในการต่อสู้อันมหาศาล
แต่ว่าความว่องไวของวีดก็อาจจะทำให้เขาหลบหนีไปได้เมื่อชีวิตนั้นเริ่มตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย
วีดเริ่มสบถออกมา
.แก ไอ้เจ้าง่อยงี่เง่า
แกไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง ฉันไม่ต้องการลูกน้องที่ยอมตายโง่ๆ แบบนี้”
“ข้าขอโทษท่านจักรพรรดิ”
“แต่ในอนาคตนั้นช่างมืดมน ปฏิกิริยาของคนอื่นนั้นไม่ได้สำคัญเท่าของเจ้า”
ต้องขอบคุณที่วีดได้ผ่านประสบการณ์การเข้าดันเจี้ยนมามากมาย
เขารู้ดีว่าพวกประติมากรรมประทานชีพนั้นไม่ค่อยกลัวตาย และจะไม่ยอมถอย
เขารู้ความสามารถและขีดจำกัดของพวกเขา
นอกจากซาฮับและ อะเฮลลุน เขาก็รู้สึกหดหู่เมื่อนึกถึงผู้ใต้บังคับบัญชาที่ใกล้ตาย
ยกเว้นเจ้าเฮสไทเกอร์
ประหนึ่งว่าคนแก่เป็นห่วงลูกหลานในวัยชรา
‘แต่ฉันก็ไม่สามารถหิ้วหมอนี่ไปไหนมาไหนได้ง่าย’
มอนสเตอร์นั้นไม่ค่อยเอะใจในตัววีดเมื่อเขากลายร่างมาเป็นโพนี่กลิ่นเหม็นสาปจากตัวทำให้พวกมันนั้นไม่อยากเข้าใกล้วีด
เมื่อเทียบกับมอนสเตอร์ตัวอื่นแล้วเขาแทบไม่เป็นสังเกต
ดังนั้นเขาจึงไปไหนมาไหนได้ตามสบาย
แต่ถ้าหากว่าเขาบรรทุกมนุษย์เอาไว้บนหลังในขณะที่เคลื่อนไหวไปไหนมาไหนเขาก็อาจจะถูกมอนสเตอร์รุมโจมตีได้ง่ายๆ
‘ตอนนี้ฉันก็เดินไปหลายที่แล้วก็ยังพบลูกน้องแค่คนเดียวเท่านั้น
คงต้องพยายามหาต่อไป’
วีดทิ้งนักรบสองเอาไว้ที่หลุมหลบภัยก่อนที่จะค้นหาต่อไป
และหาจนกระทั่งตะวันตกดินก็ยังคงไม่พบใครอีก
ถึงจะมีร่องรอยของการต่อสู้ระหว่างมอนสเตอร์อยู่บ้างแต่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าใช่ฝีมือของลูกน้องเขาหรือเปล่า
เวลาได้ผ่านพ้นไปเรื่อยๆ
ในขณะที่วีดเดินค้นหาไปตามกำแพงจนถึงแม่น้ำเน่าเหม็น
‘นี่มันเวรกรรมอะไรของพวกแกนะ’
วีดหวังว่าพวกเขาสักคนนึงน่าจะได้พบกับเพื่อนร่วมทีมแทนบ้างก็ยังดี
ทั้งเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเอายังไงกับนักรบสองดี
และด้วยนักรบสอง ตอนนี้ทำให้วีดยังไม่สามารถบุกเข้าไปในวิหารเอ็มบินยูได้
“เห้ย แต่ฉันมีนี่นี่นา”
วีดนำทรายแห่งกาลเวลาออกมา
และหากเขาย้อนดูการผจญภัยของโนดูล
เขาก็อาจได้กลยุทธดีๆมาใช้
การที่เขาคิดไม่ออกไม่ได้หมายความว่าภารกิจเขาจะไม่สำเร็จสักหน่อย
“ฉันต้องทำให้เวลามันแน่นอน
ถ้าฉันได้บันทึกเอาไว้ล่ะก็
ฉันก็จะเสร็จช้าไปสักหน่อยเท่านั้น
ทรายแห่งกาลเวลา”
ทรายแห่งกาลเวลาได้ร่วงหล่นจากมือวีด
ทรายแห่งกาลเวลา
ทรายแห่งกาลเวลาสามารถระลึกสิ่งต่างๆได้
สมบัติแห่งทะเลทรายทางใต้สามารถย้อนเรื่องราวผ่านอดีตกาลได้
ทรายสามารถพาคุณย้อนกลับไปยังเวลาดั้งเดิมเพื่อนำพาคนหรือสิ่งของได้
หากครอบครองสามารถย้อนอดีตได้
|
ติ้ง!
ทรายแห่งกาลเวลาไม่สามารถใช้งานได้เนื่องจากถูกขัดขวางด้วยเวทย์มนตร์ปีศาจ
ทรายแห่งกาลเวลาไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป
พร้อมกับสูญหายไปตลอดกาล
|
จบตอน
ผู้แปล :
Rangsima Takoyaki
Editor : แอดชิน เพจ
เราอ่านนิยายแปล
ซวยซํ้าซวยซ้อนจริงๆ อะไรใช้ได้ก็ยังจะมายึดคืนไม่ให้ใช้อีกฮ่าๆๆๆๆ
ตอบลบขอบคุณครับ
thank you so much
ตอบลบเห็นด้วยครับ ซวยจริงๆ นอกจากใช้ไม่ได้แล้ว ยังหายไปอีก
ตอบลบสยุกมากๆๆๆๆ
ตอบลบกำ กำ ขอบคุณคับ
ตอบลบอุ๊... ซวยแล้ว
ตอบลบ