เล่ม 19 ตอนที่ 8 มรดกของประติมากร
แปลโดย Cole’s
Myth
วีดค้นพบถ้ำเพื่อใช้หลบซ่อนด้วยความยากลำบากเพียงเล็กน้อย
ถ้ำนั้นไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มันเป็นหลุมที่พ่นลาวาออกมาตลอดเวลาเมื่อเกิดการกระทบกันของแผ่นเปลือกโลก
ถ้าหากคุณเดินลึกเข้าไปข้างในบริเวณชั้นใต้ดิน
คุณจะพบเห็นสายธารลาวาที่กำลังไหลอย่างเอื่อยเฉื่อย
พร้อมกับปล่อยพลังงานความร้อนออกมาถึงแม้ว่าจะมีมอนสเตอร์จำพวกโลมาและปลากระโทง(ปลาดาบ)กระโดดไปมาบนลาวา
วีดไม่ได้สนใจเป็นเวลานานเท่าใดนัก
“ไม่ ใครจะไปรู้ล่ะ ว่าถ้ามองไปที่พวกมันแล้วเราเกิดถูกเผาขึ้นมา
ไม่มีทางซะหรอก เราไม่ได้อยากที่จะต่อสู้กับเจ้าพวกนั้นซะหน่อย”
เจ้าวิหคทองคำยังคงงงงวยและสงสัยว่าทำไมวีดถึงตั้งใจมองไปที่เขามากขนาดนั้น
“ถ้าหากว่าเรานั้นมีอิสระดั่งเช่นนก,
มันคงจะเป็นหนทางที่สะดวกที่สุดในการสำรวจไปรอบๆทั้งหมดทั้งมวลนี้
การที่สามารถบินได้ มันช่างดูง่ายดายกว่าที่คิดซะอีก”
ด้วยการใช้เจ้านกสีทองเป็นแบบ
วีดได้สร้างผลงานชิ้นใหม่ขึ้นมาปกคลุมด้วยเถ้าถ่านภูเขาไฟ;
มืดดั่งท้องฟ้ายามค่ำคืน; มอนสเตอร์ที่หลอมรวมเข้ากับสภาพแวดล้อม
เขาได้สร้างอีกาขึ้นมา
“ประติมากรรมจำแลง!”
ร่างกายของวีดหดลงไปมากกว่าสองเท่าขนนกออกมาจากร่างกายของเขาและปากของเขาก็เปลี่ยนเป็นจะงอยปากอันแหลมคม;
ดวงตากลมขนาดเท่าลูกปัด เปลี่ยนเป็นสีดำเหมือนกับก้อนถ่าน
เมื่อคุณอยู่ในร่างนี้ คุณจะไม่สามารถใช้อุปกรณ์สวมใส่ที่มีอยู่ในตอนนี้ได้เลย
มอนสเตอร์มีปีกขนาดเล็กจะได้รับความทรมานจากบทลงโทษเมื่อสวมใส่อุปกรณ์ที่มีน้ำหนักมาก
อุปกรณ์สวมใส่ที่มีน้ำหนักมากจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับค่าความเร็วและความคล่องตัวของคุณ
ถ้าหากคุณไม่จำกัดปริมาณพละกำลังและความเร็ว
จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะก้าวเดินหรือขยับปีกเพื่อบิน
ผลจากทักษะประติมากรรมจำแลง
ทำให้ค่าความรู้และสติปัญญาลดลงถึงจุดต่ำสุดอย่างไรก็ตาม ค่าความเร็วเพิ่มขึ้นเพื่อใช้เร่งในการบิน
ค่าสถานะของเขา ณ ตอนนี้ ได้รับผลกระทบจากการเลียนแบบเป็นนกอย่างสมบูรณ์ ทั่วทั้งตัวมีแต่ขน
แถมยังไร้สมองอีกต่างหาก
ค่าสถานะแห่งความโชคร้ายจากอีกายังส่งผลตามมาติดๆด้วยเช่นกันค่าสถานะด้านโชคถึงกับอยู่ในช่วงติดลบ,
ราวกับว่ามันกำลังแผ่ความโชคร้ายมาสู่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวของมันใช่แล้ว
ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งนัก ภายในความเป็นอีกานั้น เป็นที่รู้จักกันดีว่า
มันคือ ลางร้ายแห่งความหายนะ
มานา, ความอึด, และพลังกาย -25%.
มีผลจนกว่าการแปลงกายจะถูกยกเลิก
วีดต้องการทดสอบด้วยการส่งเสียงร้องแบบอีกา
“มันติดตรงที่ ก๊าก๊า กา กา กา
ก้า”
มันน่ารำคาญมาก,
เสียงที่ฟังแล้วช่างไม่รื่นหูอย่างแรง ทำให้เจ้าวิหคทองคำขวัญผวาเล็กน้อย,
เจ้าเหลืองเองก็หงุดหงิดเช่นกัน, อีกทั้งยังทำให้โกลด์มินิเสียวสะดุ้งจนต้องถอยออกมา
“ยังไงซะ
ตอนนี้ก็ได้เวลาที่เราต้องออกสำรวจสักหน่อย”
อีกาไม่เหมาะที่จะต่อสู้ ที่แย่ไปกว่านั้นจะงอยปากของมันยังเอาไปใช้เขียนไม่ได้อีกด้วยและมันยังไม่สามารถใช้อุปกรณ์สวมใส่ได้เลย
“ซ้าย, ขวา,
ซ้าย, ขวา”
วีดค่อยๆขยับเท้าก้าวออกไปทีละนิด
เพื่อทำความคุ้นเคยกับร่างใหม่ของเขาเขานั่งแล้วก็ลุกขึ้นยืนไปมา,
จากนั้นหุบปีกและกางปีกออกมาเจ้าอีกาตัวจ้อย, ยังมีอะไรอีกมากที่ต้องปรับตัวหลังจากดิ้นรนไปมา
อยู่ประมาณ 10 นาที ในร่างกายอันแปลประหลาด, ดูเหมือนว่าเขาจะจัดการมันได้ซะที
“เอาล่ะ ได้เวลาทดสอบบินดูแล้ว”
วีดเร่งความเร็วไปยังที่ว่าง เหมือนกับเครื่องบินที่กำลังจะเทคออฟเพื่อบินขึ้นสู่น่านฟ้า
*พั่บ พับ พั่บ พับ พั่บ พับ*(ไปเลยแมกนั่ม555)
วีดลอยตัวออกจากพื้นดิน
พร้อมกับรวบอากาศที่อยู่ข้างใต้ปีกของเขามันดูไม่ค่อยมั่นคงนัก,
แต่ในที่สุด เขาก็ลอยอยู่เหนือพื้นดิน, บินไปเหมือนอีกามันดูแปลกๆแต่ก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
ด้วยการขยับปีกไปในอากาศ เขาบินสูงขึ้น
สูงขึ้นจากตรงท้องฟ้าที่เขาอยู่นั้น เขาสามารถมองเห็นเป็ดเพลิงบินวนไปวนมาอยู่รอบๆ
ช่างน่าเสียดาย
วีดนั้นอ่อนแอเกินกว่าที่จะต่อสู้กับพวกมันได้
เขาเคยมีการต่อสู้ที่สุดยอด,
และเก่งกาจในร่างของมนุษย์,แต่ทว่าการแปลงเป็นอีกา
ทำให้เขาไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ แน่นอนล่ะว่า เขาคงได้ตายร้อยเปอร์เซ็นต์
หากต้องใช้ร่างนี้ต่อสู้, หนำซ้ำอาวุธของเขาที่ร้ายแรงที่สุดในตอนนี้มีเพียงแค่การโจมตีด้วยจะงอยปากเท่านั้นหลังจากที่โจมตีออกไปเพียงครั้งเดียว,
มันแทบจะไร้ประโยชน์ในทันทีที่เขาถูกโจมตีกลับอย่างต่อเนื่องเขาไม่มีทางหนีรอดหลังจากการโจมตี
เขาเริ่มทำการปรับปีกของเค้าและเปลี่ยนทิศทาง
จุดมุ่งหมายของเค้าคือการดูข้อมูลและรูปแบบของมอนสเตอร์
มอนสเตอร์เกือบทุกตัวที่นี่นั้นเปรียบได้ดั่งสมบัติทางธรรมชาติ
วิดีโอบนโฮมเพจของรอยัลโร้ด
เรียกพื้นที่บริเวณนี้ว่า ‘เพื่อนบ้านที่แสนจะอันตราย’วีดไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาแต่อย่างใด เขาผงกหัวไปมาอย่างช้าๆ
สังเกตดูสิ่งต่างๆรอบตัวของเค้า
ตั้งแต่เขาเปลี่ยนร่างเป็นอีกาณ
จุดที่สูงที่สุดของลาสฟาลั้งคซ์ที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากระดับพื้นดิน,
ได้มาเผยโฉมให้เห็นแล้ว
ลาสฟาลั้งคซ์ไม่ใช่เกาะที่เปล่าเปลี่ยวเขตภูเขาไฟช่างแสนกว้างใหญ่ สายน้ำที่มิอาจแช่แข็งได้และส่วนอื่นๆของธารน้ำแข็งต่างเชื่อมต่อถึงซึ่งกันและกัน
ระหว่างลาสฟาลั้งคซ์และธารน้ำแข็ง
มีบริเวณที่เป็นกันชนซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยหิมะและมีเนินเขาอยู่บ้างประปราย
“ที่นี่มันทั้งร้อนทั้งเย็นจริงๆ”
เขตแดนของทั้งสองฝั่งมีมอนสเตอร์ระดับสูงอยู่เต็มไปหมด
บนธารน้ำแข็งของเกาะมอนสเตอร์ส่วนใหญ่พร้อมและเต็มใจที่จะเข้าร่วมในการต่อสู้กับมอนสเตอร์ที่โผล่มาจากพื้นดินของอีกฝั่ง
มันเป็นพื้นที่ๆมักจะเกิดการปะทะกันอยู่บ่อยครั้งซึ่งเจ้าตัวที่มีจิตใจดังอีกาแบบครึ่งๆกลางๆตัวนี้ก็ไม่ได้ต้องการที่จะเข้าไปใกล้มันเลยสักนิด
“เราต้องหาโจรสลัดอาเมเนี่ยน...”
การออกสำรวจในร่างของอีกาที่บริเวณพื้นที่ใกล้เคียงนั้น
ค่อนข้างยากลำบาก อากาศอันร้อนระอุพวยพุ่งออกมาจากภูเขา ไหนจะมีเป็ดเพลิงบินวนอยู่รอบๆภูเขาไฟภูมิประเทศบริเวณนั้นเต็มไปด้วยหุบเขาและแอ่งลาวา
ณ ที่แห่งนั้น เต็มไปด้วยรอยแยก ปรากฏให้เห็นซึ่งหอคอยเก่าแก่อันเป็นเอกลักษณ์
ตั้งตระหง่านจนเห็นเป็นสง่า หอคอยหินวัดความสูงได้ประมาณ 20 เมตรตั้งอยู่ในบริเวณภูเขาไฟที่มิอาจแตะต้องได้
“มีอะไรอยู่ตรงนั้นน่ะ?”
วีดบินตรงไปที่หอคอยอย่างระแวดระวัง
มีมอนสเตอร์จำนวนมากอยู่รอบๆยอดหอคอยหลังนั้น
แต่ว่าพวกมันนั้นไม่ได้สนใจกับแค่อีกาแค่ตัวเดียวหรอก
ฉะนั้นเขาจึงสามารถไปถึงทางเข้าของหอคอยได้อย่างปลอดภัย
ที่ทางเข้าหอคอยมีบรรดาประติมากรรมรูปสลักมอนสเตอร์ที่อาศัยอยู่ในเขตลาส
ฟาลังคซ์ถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างมีชีวิตชีวา แต่เป็นเพราะการสิ้นพระชนม์ขององค์จักรพรรดิ
จักรวรรดิจึงได้ล่มสลายไป การบุกโจมตีแผ่ขยายไปทั่วทั้งทวีป
และจักรวรรดิก็แตกเป็นเสี่ยงๆจนตกลงสู่ความโกลาหล
หลงเหลือไว้เพียงแค่ผลงานที่เขาสร้างขึ้นมากระจัดกระจายไปทั่ว
ด้วยความลุ่มหลงในศิลปะและความสวยงามของเขาไม่ว่าใครที่มีผลงานซักชิ้นหนึ่งก็ไม่อาจตัดใจเลิกรากับมันไปได้
ภายในเขตลาส
ฟาลังคซ์คนๆหนึ่งสามารถพบแร่เหล็กที่มีค่าทั้งหมดจากในทวีปเวอร์เซลนี้ได้
แล้วบรรดาประติมากรก็สามารถเปลี่ยนแร่เหล็กพวกนั้นให้ให้กลายเป็นรูปสลักเหล็กกล้าที่มีชีวิตได้
เพราะงั้นพวกเขาส่วนใหญ่ถึงได้หนีออกมาระหว่างความแตกแยกของทวีป
ก่อนที่วีดจะมาถึง
บุคคลเดียวที่รู้จักดินแดนแห่งนี้คือจักรพรรดิเกฮา วอน อาเพ่น
ประติมากรรมทุกชิ้นนั้นมีเลเวลสูงๆทั้งนั้น แต่ว่าในตอนที่พวกเขามาถึงลาส
ฟาลังคซ์แห่งนี้ แม้ว่าพวกเขาจะใช้ประโยชน์จากผลงานที่มีชีวิต ก็ยังไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับเหล่ามอนสเตอร์ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาตินี้ได้เลย
แล้วพวกเขาก็เสียชีวิตลงในที่สุด หอคอยแห่งนี้เป็นผลงานที่สืบทอดมาจากผู้ที่เคยมายังที่นี่นั่นเอง
ไม่ว่าใครที่เป็นผู้สร้างสรรค์งานประติมากรรมก็คงถูกชักนำให้มาที่นี่
‘หัวหน้าของสมาคมประติมากรและประติมากรรมมีชีวิตทั้ง
13 ชิ้น…’ (น่าจะเป็นชื่อของประติมากรรม)
ท่านได้ทำการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ “ประวัติศาสตร์ของประติมากร”
หากท่านรายงานการค้นพบนี้กับสมาคมประติมากร
ท่านจะได้รับรางวัลใหญ่
รางวัลสำหรับมรดกแห่งประติมากรคือการหยิบชิ้นของขวัญที่สร้างขึ้นที่นี่!
ผลงานบนหอคอยได้มีตัวหนังสือสลักเอาไว้
รายชื่อนั้นไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก บางทีมันคงมาจากประติมากรที่โด่งดังมากล่ะมั้ง
(ผู้แปล: หลายคนอาจจะงงๆว่า
มรดกแห่งประติมากรรมคืออะไร รอเฉลยเล่มที่ 21 นะครับ คร่าวๆตอนนี้ก็คือ
หอคอยที่มีประติมากรรมหลายชิ้นรวมตัวอยู่เอาไว้ให้เป็นมรดกกับประติมากรรุ่นหลัง)
แล้ววีดก็ได้พบผลงานระดับแมคนั่มห้าชิ้นที่เป็นผลงานประติมากรรมแห่งชีวิตของจักรพรรดิเกฮาวอน
อาเพ่น
(Admin: Magnum Opus เป็น ภาษาลาติน เรียกอีกอย่างได้ว่า ผลงานระดับ
Master piece ผลงานอันยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ไอติม magnum นะเฟร้ย)
‘บนทวีปเวอร์เซล
ยังคงไม่มีประติมากรคนใด เยี่ยมยอดเทียบเท่ากับจักรพรรดิองค์นี้ได้เลย’
หลักฐานก็คือสิ่งที่เขากำลังสัมผัสอยู่ตอนนี้นั่นเอง
วีดมองดูชื่นชมอยู่ซักพักจากนั้นก็ขึ้นไปบนหอคอย
“เรียกขาน เดทไนท์”
บริเวณเบื้องหน้าของวีดส่องแสงวูบวาบ
แล้วเดทไนท์ก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าอีกาตัวสีดำยืนอยู่
“นายท่าน รูปร่างท่านตอนนี้ช่างหาดูได้ยากมากจริงๆ
แต่ว่ามันก็ดูเหมาะดีนะครับ”
“มันก็เหมาะสำหรับตอนนี้เท่านั้นแหละ” วีดพูดโต้ตอบกับคำวิจารณ์ของเดทไนท์กลับไป
เขาส่งเดทไนท์ลงไปตรงทางเข้าหอคอย
ประตูถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เปิดออกได้เพียงจากข้างนอกเท่านั้น
มีกระดิ่งที่ส่อแววอันตรายอยู่ที่ตรงมุมประตูที่เขาสามารถสั่นได้
แต่ด้วยความหวั่นๆพวกมอนสเตอร์ที่อาจถูกดึงดูด(ด้วยเสียง)
เขาจึงปล่อยไว้อย่างนั้น
ในแต่ละชั้นนั้นมีรูปประติมากรรมอัศวินที่ดูหลอนๆตั้งท่าจะโจมตีอยู่ตลอด
ประติมากรรมหลายๆชิ้นมักจะดูคุกคามจริงๆ พวกมันถูกปกคลุมไปด้วยเปลือกหนาที่เกิดจากฝุ่นหนาเตอะเกาะพอกพูนเอาไว้
หรือบางทีก็คงเกิดจากแรงสั่นแผ่นดินไหวที่ทำให้เพดานหอคอยโปรยละอองฝุ่นลงมา แถมจำนวนมอนสเตอร์(ประติมากรรม)นี่ก็ดูมากอีกด้วย
“บางทีพวกมันคงเป็นมอนสเตอร์ที่เคยมีชีวิตอยู่ในอดีตก็ได้มั้ง?”
มีทั้งพวกแมลงกับมอนสเตอร์ทะเลอยู่เป็นจำนวนมาก!
พวกมันแต่ละกลุ่มก็ยังมีเหล่าทหาร อัศวิน
และพวกชนชั้นสูงแห่งราชอาณาจักรที่ดูดีซะจริงราวกับว่ามีชีวิต ส่วนชั้นบนของหอคอยก็มีประติมากรรมแห่งไฟที่ตัวเล็กๆดูดีเอาการตั้งอยู่
แม้นว่าเวลาจะผ่านไปนานมากแล้วประติมากรรมทองและบรอนซ์ก็ยังคงไม่ได้บุบสลายแต่อย่างใด
มีแต่ยิ่งทำให้พวกมันดูสว่างเจิดจ้าไม่สิ้นสุดเข้าไปอีก
งานแกะสลักเยอะแยะมากมายเหล่านี้ต่างพรรณนาถึงเหล่าชนชั้นสูงจากยุคประวัติศาสตร์
ที่มีแต่จะแผ่รังสีอันมืดมนน่าเบื่อออกมา แต่แทนที่พวกมันจะเป็นผลงานระดับตำนาน
กลับมีแต่ผลงานระดับดี (fine/ classical)กับแกรนด์พีช(Grandpiece/Classical
Masterpiece)อยู่ตั้งมากมาย แล้วก็ยังมีผลงานระดับแมคนัม(Masterpiece/Magnum
Opus)เพียงแค่ 4 ชิ้นเท่านั้นเอง ในขณะที่มองดูประติมากรรมประวัติศาสตร์เหล่านั้นค่าสถานะทางศิลปะของวีดก็เพิ่มขึ้นสูงสุดถึง
189 แต้ม แถมค่าทักษะประติมากรรมก็ยังเพิ่มขึ้น 8% อีกด้วย ช่างเป็นรางวัลที่มากมายมหาศาลจริงๆ
“แต่ว่านะ พวกคนที่ทิ้งผลงานยอดเยี่ยมเหล่านี้อาจจะยังอยู่แถวๆนี้ก็ได้”
(แกคิดว่ามันยังมีชีวิตอยู่หรอออ) (admin:
นั่นสิ คิดได้ไง มันผ่านมาเป็นร้อย เป็นพันปีเยนะเฟ้ย ไอ้วีด)
แต่ว่าน่าเสียดายไม่ว่าเขาจะค้นหาทั่วทั้งซากหอคอยมากซักเท่าไร
เขาก็ไม่สามารถพบร่องรอยของคนที่สร้างประติมากรรมที่อยู่ภายในนี้เลย
แต่อย่างไรก็ตามเขาก็พบเข้ากับผลงานหกชิ้นที่ทำมาจากโลหะและคริสตอลจัดแสดงอยู่ในที่เดียวกัน
หลังจากนั้นวีดก็ออกมาจากหอคอยมรดกแห่งประติมากรรมแล้วก็เริ่มตรวจสอบรอบๆลาส
ฟาลังคซ์อีกครั้ง
เมื่อเขาออกตรวจค้นส่วนอื่นๆของเขต ก็พบเข้ากับประติมากรรมที่ถูกแกะสลักมากยิ่งขึ้นไปอีก
แต่ยังไงพวกมันก็ได้รับความเสียหายรุนแรงอย่างมากจากลาวาและเหล่ามอนสเตอร์ที่ถือว่าห่างจากรูปร่างดั้งเดิมของมันไปแล้ว
เป็นรูปร่างที่ไม่สามารถจะนึกออกมาได้
เพื่อที่จะค้นหาเหล่าประติมากรรมเขาจึงต้องบินสูงๆเข้าไว้เพื่อให้ปลอดภัยจากพวกมอนสเตอร์
แต่ว่าเขาก็ยังคงพบเจอกับประติมากรรมตลอดทางที่ผ่านทั้งบนเทือกเขาทั้งที่อยู่ห่างไกลออกไป
“แต่ว่ากลวิธี(สร้างประติมากรรม)ของเหล่าประติมากรก็ดูเหมือนทำตามๆกันแต่แบบเดิมๆ…..มันควรมีชิ้นงานที่เป็นทองบ้างสิ!”
(ยิ่งได้ผลงานดีมากเท่าไรก็ยิ่งจะสร้างประติมากรรมได้สร้างได้ใหญ่ขึ้นเท่านั้น)
ถึงแม้ว่าประติมากรรมนั้นจะยิ่งชิ้นเล็กมากก็ต้องใช้กำลังคนมากมายเพื่อยกมันอยู่ดี
และแน่นอนว่าสำคัญยิ่งกว่าที่จะเน้นถึงความละเอียดของงานเพื่อที่จะมองถึงมูลค่าของประติมากรรม
นั่นถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องยึดถือเอาไว้อย่างมากในการทำงานเพื่อเงินแค่นั้น ท่ามกลางประติมากรรมที่ทำมาแบบลวกๆนั้นคงจะถูกเอาไปแล้วถ้าหากพวกเขามาถึงที่นี่ก่อน
เพราะดินแดนนี้ดูเหมือนจะแผ่ขยายออกไปจนสุดลูกหูลูกตา!
บนดินแดนที่อยู่ห่างไกลออกไปหนทางก็ค่อยๆเลือนหายไป(จากระยะการมองเห็น) บนบริเวณยอดเขาที่ใหญ่ที่สุดลูกที่สามมีเป็ดเพลิงกับพวกนักรบแห่งความหายนะอยู่เต็มไปหมด
และคงเป็นภาพที่ดูเหมือนกับอีกาบินเข้าไปสู่ภูเขามหันตภัยซะมากกว่า ภายในหุบเขามีเหมืองแร่ที่ถูกทิ้งไว้
โดยมีทางเข้าลึกลับที่ค้ำเอาไว้ด้วยต้นเสาเก่าคร่ำครึตั้งอยู่จนแทบมองไม่ออก
“ต้องคิดให้รอบคอบ…ร่องรอยของโจรสลัดอาร์เมเนียนจะอยู่ที่ไหนกัน”
เขาต้องหาร่องรอยของโจรสลัดอาร์เมเนียนให้พบ
หากเขาเพียงแค่ลองมานึกเกี่ยวกับจุดหมายปลายทางที่พวกเขาเดินเรือมาแล้ว แต่กลับเป็นว่าเขาก็ไม่สามารถหาพวกเขาเจอได้เลย
แต่ถึงยังไงก็ยังสามารถตีวงการค้นหาให้แคบลงได้อยู่
“หรือว่าบางทีพวกเขาอาจจะไม่ได้ขึ้นมาจากสายธารไร้เยือก(Unfreezing
river)ก็ได้ แต่เทียบเรือเพื่อเดินอยู่ที่ดินแดนน้ำแข็งแทนก็เป็นได้”
งั้นออกไปสำรวจอาณาเขตน้ำแข็งกัน!
เพราะว่าอากาศหนาวเหน็บมากเกินไปน้ำแข็งจึงก่อตัวบนจะงอยปากและปีกทั้งคู่ของเขาแต่เขาก็ยังสำรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วน
แต่เพราะการสำรวจนี้ เขาจึงสังเกตเห็นร่องรอยของมนุษย์ที่เหลืออยู่บริเวณแถวๆธารน้ำแข็ง
บริเวณที่ที่มีร่องรอยหลงเหลืออยู่นั่นแทบจะมองไม่เห็น(แต่ก็เหลืออยู่)เนื่องด้วยเหล่ามอนสเตอร์นั้นเดินผ่านไปร่องรอยนั้นไปแถมยังปกคลุมไปด้วยหิมะ
อย่างไรก็ตาม สถานที่ตรงนั้นได้เผยให้เห็นถึงหลักฐานชิ้นสำคัญ นั่นคือ
เหล่าโจรสลัดที่ถูกแช่แข็ง!
เหล่าโจรสลัดอาร์เมเนียนเคยผ่านทางนี้มาก่อน
มันยากมากเลยที่จะแยกแยะร่องรอยของเหล่าโจรสลัดที่อยู่บนพื้นนั้นได้ แต่มันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าพวกเขาเดินทางไปในดินแดนที่เต็มไปด้วยหิมะแห่งนี้
บรรดาโครงกระดูกหลายร่างปรากฏอยู่ในบริเวณที่เต็มไปด้วยหิมะกลายเป็นซากโครงกระดูกก็ถูกทอดทิ้งไว้ในเขตลาส
ฟาลังคซ์ บริเวณที่โครงกระดูกโจรสลัดอาร์เมเนียนถูกพบ ก็มีข้าวของส่วนตัวที่พวกเขาเหลือไว้อยู่ด้วย
ดูเหมือนว่าเหล่าโจรสลัดที่มุ่งหน้าไปยอดเขาสูงที่เจ็ดแห่งเขตลาส
ฟาลังคซ์นั้นตายไปหมดแล้ว เพราะพวกเขาทั้งหลายมุ่งเดินหน้าไปที่ที่พวกมอนสเตอร์ส่วนใหญ่อาศัยอยู่นั่นเอง
“มุ่งหน้าจากแถวธารน้ำแข็งไปยังรังมอนสเตอร์
พวกเขาคงกำลังพยายามไปให้ถึงที่ไหนซักที่ที่อยู่ใกล้ๆนั้นสินะ”
มันเป็นการเดินทางค้นหาที่ยากลำบากมากเอาการ
แต่แล้ววีดก็เห็นว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะเข้าไปให้ใกล้กว่านี้ได้เพราะเหล่ามอนสเตอร์คงได้ยิงเขาตกลงไปแน่ๆ
วีดจึงบินกลับไปในที่ที่โกลมินิกับเจ้าเหลืองอยู่ เขาได้ปลดทักษะประติมากรรมจำแลงออกแล้วก็กลับกลายไปเป็นโครงกระดูกอันเดด
“โกลมินิ”
“โกลโกลโกล สัปดาห์นี้ท่านอยากให้ข้าทำอะไรหรือ? ท่านก็รู้ว่าข้าเชื่อในตัวท่านมากที่สุด
ใช่ไหมครับ?”
“แล้วไง?”
ถึงแม้ว่าเขาจะละเลยพวกประติมากรรมสลักชีพไปเป็นเวลานานแต่ว่าความสนิทสนมก็ยังคงเพิ่มขึ้นอยู่
ความห่างไกลก็ยังทำให้ใจยังคะนึงโหยหาอยู่ (Absence does
make the heart grow fonder)
“เตรียมพร้อมต่อสู้ เรียกขาน เดทไนท์!”
“นายท่าน ข้าพร้อมที่จะสู้ไม่ว่าตอนไหน”
เดทไนท์ก็ถูกอัญเชิญออกมาเช่นกัน
ส่วนโกลมินิก็ขี่เจ้าเหลืองที่ได้รับการคุ้มกันโดยเดทไนท์ที่ติดอุปกรณ์พื้นฐานหลากหลายประเภทเอาไว้ด้วย
“ตรวจสอบทักษะ”
ทักษะอัญเชิญอันเดดขั้นกลางเลเวล 7
(65%) ท่านสามารถใช้ประโยชน์จากทักษะของอันเดดได้
จำนวนของอันเดดและเลเวลทักษะของพวกมันขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของผู้เล่น
ขั้นที่ 1
ของการอัญเชิญอันเดด : ความเข้าใจ 1,187
ขั้นที่ 2
ของการอัญเชิญอันเดด: ความเข้าใจ 450
ขั้นที่ 3
ของการอัญเชิญอันเดด: ความเข้าใจ 11
ทักษะระเบิดซากศพขั้นกลางเลเวล 3
(41%) : สามารถระเบิดทำลายซากศพให้ย่อยยับได้
เป็นเวทย์มนต์ที่ทรงพลังมาก
ตอนนี้ท่านอยู่ภายใต้เอฟเฟคของทักษะของการแปลงโฉม
ทักษะและค่าสถานะของท่านจะได้รับผลมาจากการแปลงโฉมร่างปัจจุบันของท่าน
ด้วยผลจากบทลงโทษจะมีผลบังคับใช้ทันที
ด้วยทักษะความเข้าใจประติมากรรมขั้นสูงเลเวล
3
นั้นมีประโยชน์ค่อนข้างมากเอาการ
นอกจากเวทย์มนต์สาปแช่งหลากหลายชนิด
การคุ้มกันจากโกเลม และทักษะการสร้างอันเดดก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
“โอเคละ ทักษะการอัญเชิญอันเดดเป็นขั้นกลางเลเวล 7 แล้ว”
เหล้านั่นถือว่าไร้ประโยชน์ไปเลยเมื่ออยู่ในสถานะแปลงโฉมนี่อยู่
ดังนั้นเขาคงจะอยู่ในร่างนี้ตราบเท่าที่เขาจะสามารถตักตวงเอาผลกำไรมาได้
เป็นเพราะทักษะประติมากรรมจำแลง ทักษะหลักของเขาที่ใช้ปลุกอันเดดขึ้นมาก็พัฒนาไปด้วย
ในขณะที่ทักษะการโจมตีหลัก(ตอนเป็นประติมากร)นั้นลดลงอย่างมาก
“เราคิดว่ามันถึงเวลาที่ต้องออกล่าแล้วละ”
เขามองไปที่กองกำลังที่เหลือของเขาก่อนที่จะหันไปมองที่แวนฮอว์ค
“ข้าไม่มีพี่น้องคนไหนที่ไว้ใจได้เท่าเจ้าอีกแล้ว น้องฮอว์ค งั้นเจ้านำไปก่อนนะ”
“ข้าเข้าใจแล้ว นายท่าน”
เดทไนท์ไม่ได้พูดอะไรซักคำในตอนที่มันเดินตรงไปข้างหน้า
ธรรมดาแล้วกฎการออกล่าของวีดนั้นหลากหลายอย่าง และตอนนี้ก็คือให้เดทไนท์ออกมาเป็นแนวหน้าเพื่อต่อสู้
“ปล่อยทุกอย่างที่อยู่ข้างหน้าให้เดทไนท์จัดการแล้วก็คอยต่อสู้อยู่ด้านหลังของมัน
ปกติแล้วเราไม่ใช้สไตล์การต่อสู้แบบนี้หรอก….แต่
มันก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรนิเนอะ”
สิ่งที่ต้องทำเป็นอย่างแรกสุดคือการลองว่าพลังใหม่ที่ได้มานี้
มีคุณสมบัติที่มาจากอาชีพนี้เป็นยังไง
ปล่อยคำสาปจากแนวหลัง!
“ทักษะทำนายแห่งความมืด!” (Dark Speculation)
ทันใดนั้นรอบๆตัวของเดทไนท์ก็มีเงาอันหลากหลายปรากฏเห็นเด่นชัด
แล้วก็กระโจนออกมาจากที่หลบซ่อน
เตรียมอาวุธ!
ได้เวลาออกกำลังแล้ว!
กลุ่มเงาสลัวๆหลายตนกระโดดออกมาจากเงามืดแล้วเริ่มเข้าโจมตีเดทไนท์
เหล่ากวางกับค้างคาวรูปร่างตุ้ยนุ้ยที่มีเลเวล
300
ออกมาจากเงามืดพร้อมกับเสียงของการต่อสู้ที่ได้เริ่มขึ้น
หลังจากนั้นม้าหกตัวกับสุนัขห้าตัว แถมยังมีแมวที่ดูแข็งแกร่งอีก 23 ตัวก็กระโจนออกมาด้วย
“นายท่าน
คำสั่งของท่านละครับ”
“ความมืดจงปรากฏ เหล่าทหารซากศพโจมตี!”
เดทไนท์กวัดแกว่งดาบของมันไปทั่วทุกทิศเพื่อป้องกันการเข้าประชิดตัวเพื่อมาโจมตี
แล้วก็เหวี่ยงพวกมันตัวไหนก็ตามที่เข้ามาใกล้แล้วก็ขว้างพวกตัวที่ขวางทางเขา(เดทไนท์)เอาไว้
แต่อย่างไรก็ตามท่ามกลางมอนสเตอร์ธรรมดาๆเหล่านั้นกลับมีมอนสเตอร์ที่ไม่ธรรมดาเข้ามาปะปนอยู่ด้วย
ไทร์เบธ
(ผู้แปล: เขาบอกว่ามาจากคำว่า
ไทร์แบดเจอร์ หรือฮันนี่แบดเจอร์ หาดูได้นะครับรูปร่างคล้ายๆพังพอนมั้งนะ)
พวกไทร์เบธเข้ามาเกาะหนึบตามร่างกายของเดทไนท์
น้ำลายของพวกมันมีเมือกเหนียวๆที่มีคุณสมบัติติดหนึบตัวของเดทไนท์อย่างกับเด็กกำลังเล่นกับกาวอยู่เลย
แถมยังมีคุณสมบัติเป็นพิษฤทธิ์รุนแรง
เพียงพอที่จะละลายเนื้อหนังไปจนถึงกระดูก
แต่ว่าฤทธิ์กรดพิษนั้นกลับไม่มีผลกับเดทไนท์เลย
‘เราคิดว่าพลังการโจมตีทางกายภาพของพวกมันนั้นค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับเลเวลของพวกมันแล้วนะ
น้ำลายของพวกมันก็เอาไว้หยุดการเคลื่อนไหวของเดทไนท์จากนั้นก็โจมตีเขาด้วยการโจมตีแบบรวดเร็วเกินกว่าจะหลบได้
ถ้าพิจารณาถึงการป้องกัน(เกราะที่สวมอยู่)ของเดทไนท์แล้วก็คงสกัดเอาไว้ได้ซักพักละนะ’
พวกไทร์เบธโจมตีเร็วมากพอ จนยากที่จะหลบได้
แถมยังรวมถึงการผนึกการเคลื่อนไหวเอาไว้ด้วยเมือกนั้นด้วยมันก็ถือว่าสาหัสเอาการที่จะกำจัดพวกมันให้ได้หมดในแต่ละครั้ง
อาชีพนักฆ่า นักผจญภัยกับนักสำรวจนั้นมีทักษะการนำทางอยู่
แต่ไม่ว่าคุณจะออกสำรวจมากแค่ไหนก็ไม่อาจค้นพบทุกอย่างที่ถูกซ่อนเอาไว้ได้ อย่างเช่นการต่อสู้กับพวกไทร์เบธ
มันจะดีมากกว่าที่จะโยนเจ้าเดทไนท์ออกไปเป็นเหยื่อล่อดีกว่าจะออกไปโจมตีแบบพวกโง่
จากนั้นวีดก็ดึงคทาแห่งนักบุญผู้ดับสูญออกมาแล้วเริ่มร่ายเวทย์อัญเชิญ
“เลือดเนื้อของเจ้าจักรังสรรค์มาจากเหล่าผู้เป็นอมตะ
เจ้าจักติดอยู่ในเงื้อมมือแห่งข้า ประกาศิตแห่งเนโครแมนเซอร์ (Necromancer’s
Declaration)”
ท่านได้ใช้ทักษะประกาศิตแห่งเนโครแมนเซอร์แล้ว
เมื่อท่านสร้างเหล่าอันเดดขึ้นมาค่าเอฟเฟคเพิ่มขึ้น
15%
ความสามารถทางกายภาพของเป้าหมายจะลดลง
10%
ความเจ็บปวดทรมานทางจิตใจของเป้าหมายเพิ่มขึ้น
10%
การโจมตีของเป้าหมายไปที่เนโครแมนเซอร์จะมีผลทำให้ค่าความบาดหมางเพิ่มมากยิ่งขึ้นต่อท่านจากผลของทักษะประกาศิตแห่งเนโครแมนเซอร์
ก่อนที่จะเริ่มการต่อสู้แบบเต็มกำลัง ควรใช้มนต์ระดับสูงเพื่อเพิ่มพลังของท่าน
หากประสิทธิภาพของเวทย์ของท่านสูงพอท่านก็จะสามารถเพิ่มค่าเอฟเฟคของเทคนิคพิเศษได้
ไทร์เบธบางตัวหันไปโจมตีวีด ถึงแม้ว่าพวกมันจะใกล้ตายหรืออ่อนแอขั้นรุนแรงแล้วก็ตาม
ไทร์เบธสิบตัวเข้าโจมตีร่างกายของเขาด้วยการยิงน้ำลายใส่ ข่วนแล้วก็กัดอีกด้วย
กระดูกของวีดส่งเสียงดังกรอบแกรบขณะที่พวกมันโจมตีเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ความเคียดแค้นที่โชคชะตาได้กำหนดไว้ไม่อาจรู้สึก
คำสาปจำกัดการมองเห็น!(Narrow sight) ความโกลาหลและความเจ็บปวดทรมานจักเป็นนิรันดร์
คำสาปความเจ็บไร้ที่สิ้นสุด! (No end to the pain) ณ รุ่งอรุณใหม่
จงกระทำอย่างที่พวกมันทำแล้วก็ตกลงไปสู่ห้วงนิทราจากความเหน็ดเหนื่อย
ทิ่มแทงดวงตาของมันให้ลงลึก ปลดปล่อยนิทราไปเบื้องหน้า คำสาปนิทราอิดโรย! (Increase in Fatigue)”
“ร่างกายทุกส่วนจงระคายเคือง
คำสาปโรคภัยแห่งเลือด! (the disease of blood) อากาศธาตุอันแสนเน่าเปื่อยจงกัดกินร่างกายไป
จงโปรยปรายกลืนกินเหล่าศัตรู ทักษะอัญเชิญหมอกพิษ!(Poison mist)”
เวทย์คำสาปจำนวนมากมายถูกร่ายออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างต่อเนื่อง
วีดร่ายเวทย์คำสาปออกมาสี่ชนิดภายในพริบตาเดียว
เพื่อที่จะเตรียมเวทย์คำสาปเหล่านั้นเขาต้องท่องมนต์สาปแช่งพวกนั้นอย่างถูกต้องแม่นย้ำและยังต่อเนื่องอีกด้วย
แต่การร่ายคำสาปของวีดนั้นไม่ได้ตะกุกตะกักเลยแม้แต่นิดเดียว
ช่วงเวลาระหว่างการต่อสู้ของเขาพร้อมกับเหล่าประติมากรรมสลักชีพ
เขาได้ร่ายเวทย์คำสาปใส่พวกสิ่งมีชีวิตที่จะเข้ามาโจมตีเขา ก็มีช่วงเวลาที่หน่วงอยู่บ้างในตอนที่ใช้เวทย์คำสาปนั้น
ผลกระทบจากการใช้เวทย์สาปแช่งเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่องทำให้สมาธิในการร่ายนั้นตกลงไปเป็นอย่างมาก
เมื่อสมาธิในการร่ายเวทย์ตกลงไป
มนต์ที่ใช้ก็มีแนวโน้มที่จะล้มเหลวได้แถมยังทำให้มนต์ที่ร่ายไปอ่อนลงไปอย่างมาก แต่ว่าเวทย์บัฟกับเวทย์คำสาปก็ยังคงถูกท่องออกไปได้อย่างถูกต้องฉะนั้นมันก็ยังคงได้ผลอยู่
ผลอันเนื่องมาจากคำสาป พวกไทร์เบธอ่อนแอลงไปอย่างเห็นได้ชัด
วีดสูดหายใจเขาเฮือกใหญ่ในขณะที่พวกไทร์เบธที่เกาะเดทไนท์อยู่ตายไปแล้ว
ทันใดนั้นเขาก็ร่ายเวทย์ออกมา
“ทักษะระเบิดซากศพ!”
ทันใดนั้นรอยปริแตกก็ปรากฏบนซากศพของพวกไทร์เบธที่ตายไปแล้ว
จากนั้นก็ระเบิดออกส่องแสงสว่างวาบ! ชิ้นส่วนซากศพของพวกไทร์เบธกระเด้งกระดอนกระจัดกระจายไปทั่วทุกที่
ทักษะที่ทรงพลังมากที่สุดในทักษะเวทย์มนต์ที่เป็นที่สุดของอาชีพสายเนโครแมนเซอร์
ระเบิดซากศพนั่นเอง
การระเบิดเกิดขึ้นใกล้ๆกับเดทไนท์แต่เขาก็สามารถรอดมาจากแรงระเบิดจากซากศพที่ติดอยู่บนตัวเขาออกมาได้
ดังนั้นจึงลดความเสียหายลงไปได้มากเอาการ
เพราะว่าใช้เวทย์มนต์ไปอย่างต่อเนื่องความรุนแรงของเวทย์ของเขาจึงตกลงไปเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้นภาพที่ปรากฏจากสายตาของวีดก็มืดมัวลงไปอย่างกับภาวะต้อกระจกที่ผู้ใหญ่เขาเป็นกัน
ถึงแม้ค่าความฉลาดและความรู้ของเขาจะสูงมากชั่วขณะหนึ่งเขาก็ยังคงเลือกที่จะใช้มนต์ระดับสูงมากมาย
“ชี๊ก ชี๊ก ชี๊ก!” (เสียงร้องของไทร์เบธ)
ตอนนี้เหล่าไทร์เบธได้มีศัตรูคู่อาฆาตพวกใหม่แล้ว
เหลือเพียงแค่อีกสองตัวเท่านั้นที่อยู่กับเดทไนท์ ส่วนไทร์เบธตัวอื่นก็กระโจนบินเข้ามาโจมตีเดทไนท์กับวีด
เนื่องจากผลของคำสาปทำให้พวกมันช้าลงจนสังเกตเห็นได้ชัด พวกมันกระแทกเข้ากับตัวอื่นในตอนที่บินขึ้นๆลงๆไปในอากาศ
“โกลมินิ
เตรียมคันธนูกับลูกธนู!”
“โกลโกลโกล!”
โกลมินิยิงธนูพุ่งไปยังเป้าหมายออกไปมากมายหลายดอกจากคันธนูเอลฟ์ขั้นสูง!
คล้ายๆกับคันธนูชาวแอฟริกัน
ที่เป็นธนูที่ทำมาจากหินศักดิ์สิทธิ์และพรมด้วยน้ำมนต์เพื่อสร้างประสิทธิผลที่ดีที่สุดเมื่อที่มันถูกยิงออกไป
จิตวิญญาณที่ยิงออกไปนั้นจะส่องแสงงดงามมาก แต่พวกไทร์เบทนั้นมีความต้านทานที่ต่ำ
แถมระยะห่างที่ยิงก็อยู่ห่างแค่หกเมตรเท่านั้น
“วิหคทองคำ
แกก็ออกไปสู้ด้วยเลย!”
แต่เจ้าวิหคทองคำก็นั่งอยู่เฉยๆแล้วก็เสยขนของมันเท่านั้น
วีดนั้นไม่ได้รับการยอมรับจากตัวชี้วัดความสนิทสนมของมัน
ดังนั้นมันจึงไม่ยอมออกไปช่วยสู้ จากนั้นมีแสงสีทองส่องประกายเล็กน้อยมาจากพื้นดิน
“โกลโกล
มีเปลวไฟลุกไหม้ขึ้นมาจากผืนดินครับ”
ทันใดนั้นก็มีเสาเพลิงประทุขึ้นมาจากพื้นดิน
ตอนนี้มีแค่เจ้าโกลมินิที่มีค่าความต้านทานไฟ 100% เท่านั้นที่แสดงศักยภาพเต็มที่ของมันออกมาได้ภายในสนามต่อสู้นี้
แต่ว่าทองคำก็เริ่มละลายออกมาเล็กน้อยภายในความร้อนสุดขั้วแบบนั้น
โกลมินิผู้ที่ตั้งใจอย่างยิ่งที่จะช่วยเจ้านายของมันจึงกระโจนผ่าเปลวเพลิงเข้าไป (โกลมินินี่ทุ่มเทช่วยชีวิตจริงๆ T^T)
แต่ในขณะที่มันกำลังมุ่งไปข้างหน้า
พวกไทร์เบธก็เจาะทะลวงไฟออกมา มอนสเตอร์ที่อยู่ในเขตลาส
ฟาลังคซ์นี้มีค่าความต้านทานไฟแกร่งอย่างมากจริงๆ
เหล่าไทร์เบธที่ถูกแรงระเบิดก่อนหน้านี้
ตกลงไปบนพื้นที่ปกคลุมไปด้วยเปลวไฟแต่หลังจากนั้นพวกมันก็สะบัดเปลวไฟออกไปอย่างไม่สะทกสะท้านอย่างกับว่าพวกมันกำลังบินไปด้วยความระคายหน่อยๆและก็มุ่งหน้าบินต่อไปอย่างไม่แยแส
พวกมันจำนวนมากกว่า 15
ตัวเจาะทะลวงมาในอากาศบินตรงไปที่เหล่าศัตรูของพวกมัน
ในตอนที่พวกไทร์เบธเข้ามาถึงวีดจึงพลักเจ้าโกลมินิออกไปด้านข้างเพื่อเบี่ยงออกจากการโจมตี
ดาบของวีดนั้นค่อนข้างที่จะมีความแม่นยำ
แต่ว่าเพราะเขาใช้เวทย์ไปเป็นจำนวนมากสายตาของเขาจึงพร่ามัวทำให้ยากที่จะโจมตีศัตรูได้
ทักษะดาบส่วนใหญ่ของเขาก็กลายไปเป็นทักษะคำสาปหรือทักษะเพื่ออัญเชิญอันเดดจนหมดแล้ว
ความแข็งแกร่งและความเร็วของจอมเวทย์อมตะ ลิชในการต่อสู้นั้นตกลงไปจนน่าเป็นห่วง
พวกไทร์เบธกลับมาแล้ว!
พวกมันถ่มน้ำเมือกออกไปทั่วเลย
การเคลื่อนไหวถูกสกัดแล้ว
ความเร็วในการเคลื่อนที่ -80%
ความแข็งแรงที่ต้องใช้ในการเคลื่อนที่เพิ่มขึ้น
95%
เหล่าไทร์เบธโจมตีมาในตอนที่ยากที่จะตั้งรับได้ด้วยร่างกาย!
พวกมันโจมตีมาตรงจุดอ่อนอย่างตรงบริเวณคอ ที่ถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ย่ำแย่มากที่สุด
จากนั้นพวกไทร์เบธก็พ่นเมล็ดพืชสีแดงนับสิบมาที่วีด
เมล็ดดอกไม้ไดมอนด์ (Dymond)
ได้ถูกเพาะปลูกขึ้นมาแล้ว (ผู้แปล: เดาว่าคงเป็นการสนธิคำของคำว่า Die+Almond ฮ่าๆๆ
เดานะอย่าจิงจัง)
มันคงจะดีที่สุดที่จะกำจัดพวกมันออกไปให้เร็วที่สุดเท่าเป็นไปได้
พืชดอกไม้ไดมอนด์เริ่มเกาะติดแล้วกระจายไปทั่วร่างกายของท่าน
พืชดอกไม้ไดมอนด์งั้นหรอ…..
เมล็ดพืชสีแดงนับสิบเริ่มติดที่ร่างกายของวีด
วีดนั้นเคยตรวจสอบการโจมตีของพวกไทร์เบธมาก่อนแล้วแต่ก็ไม่รู้วิธีที่จะรับมือกับพวกมัน
ดอกไม้ไดมอนด์เริ่มโตขึ้นเรื่อยๆแล้ว
ภายในเขตลาส
ฟาลังคซ์นั้นมีพืชชนิดพิเศษบางอย่างที่มีคุณสมบัติของสิ่งมีชีวิตที่สามารถดูดสารอาหารได้อย่างรวดเร็วอย่างมาก
วีดพยายามที่จะดึงมันออกจากเสื้อผ้าของเขาโดยทันทีด้วยนิ้วของเขา
แต่ว่ามันกลับมาติดที่กระดูกของเขาแทน เมล็ดพืชไม้ดอกเติบโตได้ประมาณห้าถึงหกนาที
พวกมันดูดพลังชีวิตของเขาแล้วก็ใช้มันออกดอกอย่างเบิกบานพร้อมกับฝังรากมันลงไปด้วย
พวกมันถือว่าเป็นดอกไม้ที่มีสีสันสวยงามพอดู
ดอกไดมอนด์ที่พวกไทร์เบธหว่านมาเริ่มออกดอกแล้ว
(การโจมตีคล้ายๆปล่อยเมล็ดกาฝาก)
แต่ละเมล็ดเปลี่ยนไปเป็นดอกที่สีสันแตกต่างกันในขณะที่มันบาน
อย่างสีเหลือง ชมพู น้ำเงิน…
กลีบของมันยาวและดูหวานที่ส่งกลิ่นหวานๆสดชื่นออกมาในขณะที่มันเบิ่งบานกลีบออก
ภายในช่องเล็กๆที่อัดอยู่ (ตรงเกสร) พวกมันก็ปล่อยแสงออกมาแล้วหลังจากนั้นไม่นานมันก็ระเบิดตู้ม!
ระดับพลังชีวิตของวีดลดลง
ที่นี่คือเขตลาสฟาลังคซ์ แม้มอนสเตอร์ที่มีร่างกายอ่อนแอก็มีสไตล์การต่อสู้ที่สังหารได้เช่นกัน
ถึงแม้ว่าพวกไทร์เบธนั้นจะมีการโจมตีทางกายภาพที่ค่อนข้างอ่อนแต่พวกมันก็รู้จักใช้จุดอ่อนนั้นให้เป็นประโยชน์ได้
แต่ว่าพวกมันกลับไม่ได้คาดการณ์ถึงข้อได้เปรียบของการเป็นลิชไว้เลย
หากมีใครที่รู้จักใช้ประโยชน์ของการเป็นอันเดดได้พวกเขาก็จะสามารถเป็นที่1
ได้แม้จะอยู่ในเขตลาส ฟาลังคซ์นี่ก็ตาม
***
ดรินเฟลด์
กัปตันกองทัพเรือที่สองแห่งราชอาณาจักรฮาเว่น! พลเอกแห่งกิลด์เฮอร์มีส
มุ่งหน้าไปที่จุดเริ่มต้นของบริเวณท่าเรือ
“เกาะไอเปีย
คือจุดที่กองทัพผีสิงที่มีจอมเวทย์อมตะ ลิชที่เป็นกัปตันอยู่บนเรือครับ
มีโอกาสสูงที่นั่นจะเป็นเขาครับ…”
พลเรือเอกดรินเฟลด์ที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีดำดูทันสมัยพร้อมกับขนนกเหน็บอยู่บนปีกหมวกของเขา
เขากระดกลิ้นจนได้ยินเสียงชัดเจน
“ภารกิจแบบไหนกันที่ไม่สามารถทำได้ด้วยทหารธรรมดาอย่างนี้นะ เอิร์ล!”
ดรินเฟลด์ครุ่นคิดขณะที่กำลังลูบตามแนวหนวดของเขา
เขาเคยได้ยินข่าวลือเก่าๆของวีดเกี่ยวกับเดอะคอนติเนนท์ออฟเมจิค
แต่ยังไงซะ
สิ่งที่วีดทำในโรยัลโร้ดนั้นทำให้เลือดพวกเขาเดือดมาก
“แต่ว่าเขาก็ไม่ได้เป็นคนที่ดูกล้าหาญนักเมื่ออยู่บนท้องทะเล
จากทะเลแล้วทะเลเล่า ไม่ว่าจะกว้างใหญ่ซักแค่ไหน
เขาก็เอาแต่ตกปลาไปทอดเท่านั้นแหละ”
ไม่ว่าภารกิจที่เขาทำอยู่จะเป็นแบบไหนมันก็ไม่สำคัญอะไรอีกแล้ว
ดรินเฟลด์ยังคงเดินหน้าต่อไป นอกเหนือจากอาณาจักรเบรนท์
เหล่ากองทัพเรือที่สองก็ล่องเรือขนาดใหญ่จำนวน 37 ลำเพื่อแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญของพวกเขา
“ภายในโรยัลโร้ดนี้
คนแรกที่จะจับตัววีดได้ก็คือฉันนี่แหละ”
ขบวนทหารของเหล่าผู้เล่นที่ติดตามดรินเฟลด์ไปก็ราวๆ
1,200
คน!
การควบคุมกองทัพเรือนั้นก็มักมุ่งเน้นไปที่ความสามารถและการเติบโต(ในตำแหน่ง) ดังนั้นทหารทั้งหมดก็จะแข็งแกร่งมากเมื่อต้องสู้แบบตัวต่อตัวอีกด้วย
พวกเขาทุกคนถือว่าเป็นบุคคลที่มีพลังอำนาจที่ไม่มีใครสามารถต่อกรได้
***
“โกลโกลโกล”
โกลมินิที่ถูกผลักอย่างจงใจ
แต่กลับเพิ่มค่าความสนิทสนมที่ตกลงไปนิดหน่อยให้เพิ่มขึ้นมาซะงั้น
‘นายท่านเป็นห่วงว่าข้าจะอยู่หรือตาย
เขาไม่ได้เอาแต่รังแกพวกเราเท่านั้นสินะ เขากลายเป็นต้นไม้ที่ถูกทำลายให้กับฉัน!(หมายถึงยอมรับการโจมตีแทนมัน)’
ภายในความคิดของวีดนั้นกลับคิดว่ามูลค่าของทองนั้นมีค่ามากกว่าวัสดุหรือวัตถุดิบที่อยู่ในปิงหลงซะอีก
(ผู้แปล: สรุปตลอดเวลาที่ปิงหลงเป็นก็คือ
ตู้แช่วัตถุดิบสินะ admin: ปิงหลง คือ
ตู้เย็นเคลื่อนที่นั่นเอง) ด้วยความคิดเช่นนั้นที่อยู่ภายในใจเขาจึงเลือกที่จะช่วยโกลมินิในตอนที่พวกศัตรูฟื้นขึ้นมาโจมตี
“นายท่าน
อดทนไว้! โกลโกลโกล”
โกลมินิรีบมุ่งหน้าไปที่พวกไทร์เบธเพื่อที่จะช่วยเหลือวีด
เพราะว่ามีเดทไนท์อยู่ตรงนั้นจึงมีพวกไทร์เบธตายไปมากกว่าสองตัว
เดทไนท์นั้นมีเลเวลมากกว่ามากแต่ว่าพวกไทร์เบธนั้นเคลื่อนที่ได้เร็วมาก
กระโจนวนไปทางนั้นทีทางนี้ทีเพื่อหลบการโจมตี เพื่อที่จะโจมตีพวกมันนั้นไม่ง่ายเลย
เหล่าไทร์เบธส่วนใหญ่เข้าโจมตีวีดอย่าเอาเป็นเอาตาย
เพราะตอนที่เขาใช้ทักษะระเบิดซากศพนั้นเขาได้ดึงค่าความโกรธของพวกมอนสเตอร์จนถึงขีดสุด
(Aggro=ค่าความโกรธของมอนสเตอร์ ยิ่งพวกดาเมจแรงๆ ตีมอนแล้วค่า aggro จะเยอะขึ้นทำให้มอนหันไปโจมตีคนที่ aggro เยอะสุด)
พวกมันยังคงพ่นเมล็ดดอกไม้ไดมอนด์ออกมาที่เขาเรื่อยๆแต่วีดก็กลิ้งไปบนพื้น
เปลวไฟอาจจะสร้างผลการโจมตีของพวกไทร์เบธได้มากขึ้นสองเท่าแต่ว่าด้วยคำอวยพรจากเทพีแห่งผืนพิภพที่ยังคงทำงานอยู่มันจึงทำให้เขาไม่ได้รับค่าความเสียหายมากนัก
หลังจากที่เกือบจะโดนข่วน วีดก็แกว่งคทาเขาขึ้นมา
ทันใดนั้นพวกไทร์เบธก็โจมตวีดที่บริเวณหัวไหล่และคอของเขาด้วยการขย้ำกัดจนแน่น (กัดไม่ปล่อย)
แต่ว่าวีดก็ใช้งานทักษะป้องกันที่ยอดเยี่ยมเอาไว้แล้ว
ทักษะกายาศิลา (Stone Skin=ผิวหนังแข็งเป็นหิน)
ทักษะนั้นได้รับมาและทำให้ทรงพลังมากขึ้นในตอนที่อยู่ในหอคอยแห่งวีรบุรุษ
(หอคอยในเมืองลอยฟ้าลาเวียส) แข็งขึ้นสองเท่า!! กระดูกที่เล็บของพวกมอนสเตอร์แทงไม่เข้า
แล้วถ้าเป็นฟันของพวกมันละ?
พวกไทร์เบธยังคงแทะกระดูกที่แข็งดั่งหินต่อไปเรื่อยๆ
ส่วนอีกสองตัวก็ล็อคฟันของพวกมันไว้ที่ตัววีดเอาไว้อีกด้วย
นี่คือสิ่งที่วีดจะพูดอย่างออกหน้าออกตาว่า
“เราโชคดีกว่านั้นน่า”
การที่กัดเอาไว้อยู่นั้นหมายความว่าพวกมันจะไม่อาจยิงเมล็ดพืชไม้ดอกไปที่เขาได้อีกต่อไป
วีดทาบมือซ้ายของเขาไว้บนลำตัวตรงที่เขารู้สึกเจ็บ
“ทักษะสูบชีพ
ทักษะสูบมานา”
เขาตั้งเป้าที่พวกไทร์เบธที่กำลังกัดอย่างบ้าระห่ำอยู่นั่น
วีดยกแขนทั้งสองข้างขึ้นพร้อมๆกันและสูบทั้งมานาและค่าพลังชีวิตจากพวกที่โจมตีเขา
การโจมตีทำร้ายพวกที่จู่โจมเขาได้อย่างสาหัสแล้วปล่อยให้พวกมันอ่อนแรงเกินจนสามารถโจมตีได้อย่างแม่นยำได้
แต่ถึงแม้จะสูญเสียค่าพลังชีวิตกับความแข็งแกร่งไปเป็นอย่างมากพวกไทร์เบธก็ไม่ได้หยุดเคี้ยวเลย
เปลือกตาของพวกมันค่อยๆต่ำลงๆในขณะที่ชีวิตของพวกมันโดนสูบไป
“เราพลาดที่ไม่ได้หยิบเอาไอเท็มตอนที่ใช้ทักษะระเบิดซากศพ
แต่ว่าพลังแห่งความตายนี่ก็ใช้ทำแบบนี้ได้ด้วยสินะ” (ผู้แปล:
หมายถึงใช้ทักษะระเบิดซากศพเพื่อใช้เก็บไอเท็มได้)
พวกไทร์เบธยังขัดขืนไม่ยอมหยุดขบเพื่อที่จะล้างแค้นให้กับพวกพ้องของพวกมันที่ตายไป
“มอ
มอ มอออออออออออออออออออ”
ทันใดนั้นเองที่เจ้าเหลืองส่งเสียงคำรามและรีบพุ่งหน้าตรงมา
วีดมองดูพวกไทร์เบธได้รับการโจมตีแบบยกหมู่จากการจู่โจมหลายๆครั้งของเจ้าเหลือง
พวกไทร์เบธสามารถหลบหลีกการโจมตีของวีดได้อยู่สักพัก
แต่หลังจากนั้นวีดที่กำลังคว้าพวกมันไว้ด้วยมือทั้งสองและสูบพลังชีวิตและมานาของพวกมันต่อไป
ส่วนพวกมันอีกหลายตัวก็โดนเจ้าเหลืองพุ่งชนอยู่ด้วยเช่นกัน ท้ายที่สุดพวกมันหลายตัวก็กลิ้งอยู่บนพื้นสักพักก่อนที่จะตายไป!
“นายท่าน”
เจ้าโกลมินินำพลอยไพลินที่เขาถือไว้อยู่ออกมา
“อัญมณีวินาศ!”
(Gem Destruction)
จากนั้นอัญมณีก็แตกละเอียดและระเบิดออกกลายเป็นสายลมเวทย์มนต์
“เวทย์ธุลีแซปไฟร์!”
(Sapphire Dust)
ฝุ่นละอองแซปไฟร์ที่ถูกทำให้แตกละเอียดเริ่มพัดวนไปรอบๆ
สายลมสีน้ำเงินที่ส่องแสงเริ่มโจมตีไปที่พวกไทร์เบธ!
“แก้ปัญหาได้ดีนี่”
วีด เจ้าเหลือง
และเดทไนท์ก็โดนกวาดเข้าไปอยู่ในละอองแซปไฟร์นั้นด้วยเช่นกัน
ในตอนแรกมันสะท้อนไปที่เจ้าของของมัน(วีด)
และด้วยความเป็นเจ้าของเวทย์ของมันดังนั้นคุณสมบัติของเวทย์จึงคล้ายคลึงกับลักษณะนิสัยของเจ้าโกลมินิด้วย
คุณสมบัติการแช่แข็งนั่นเอง
ค่าพลังชีวิตลดลง 190
แต้มในทุกๆวินาที
ค่าความอึดลดลงอย่างรวดเร็วแต่ว่าก็ไม่มีผลอะไรหากอยู่ในสถานะของอันเดด
เป็นไปไม่ได้ที่จะเคลื่อนไหวได้!
เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้เวทย์ได้!
ท่านไม่สามารถใช้อาวุธได้
เวทย์มนต์ของเจ้าโกลมินินั้นจัดการเป่าพวกไทร์เบธอย่างรุนแรง
พวกไทร์เบธถูกแช่แข็งแล้วก็ยังไม่สามารถบินได้ด้วย ได้แต่นอนเฉยๆอยู่บนพื้น!
พวกไทร์เบธนั้นมีค่าความต้านทานเวทย์มนต์อยู่บ้างเมื่ออาศัยอยู่ในเขตลาส
ฟาลังคซ์นี้แต่ไม่ใช่กับเวทย์น้ำแข็ง แต่ว่าพวกไทร์เบธก็ยังดึงดันจะขบร่างของวีดต่อไป
พวกมันคงไม่รู้จักวิธีที่จะตกลงไปเลย วีดก็ยังต้องติดอยู่กับเจ้าพวกนี้ด้วยเช่นกัน
“งั้นเราจะเป็นคนตัดสินชะตาครั้งนี้เอง
ถ้าพวกแกอยากจะเข้าร่วมการต่อสู้นี้นัก งั้น….”
เขาลงมือคว้าที่ตัวของไทร์เบธที่เกาะติดเขาที่อยู่ในสภาพถูกแช่แข็งเอาไว้
“ทักษะสูบชีพ
ทักษะสูบมานา!”
การกัดกินอย่างบ้าคลั่ง!
ค่าพลังชีวิตของพวกไทร์เบธนั้นอ่อนแอเต็มที่แล้ว
แต่พวกมันก็ยังคงมีพลังป้องกันที่สูงและค่าความอดทนที่มหาศาลด้วย
การต่อสู้กับเจ้าพวกไทร์เบธจอมดื้อด้านจนพวกมันตายไปในที่สุด
ถ้าหากไม่ใช่เพราะทักษะกายาศิลาคงได้รับค่าความเสียหายมากเอาการ
เขาคงจะล้มลงไปตั้งนานแล้ว
แม้จะมีทักษะกายาศิลา แต่มันก็แทบจะทนไม่ไหวแม้แต่กับวีด
นักรบที่ปราศจากการป้องกันที่สูง ไม่อาจอดทนต่อไปได้!
ในขณะที่พวกไทร์เบธที่อ่อนแอลงมาก
พวกมันถูกจับแยกระหว่างเดทไนท์กับเจ้าโกลมินิ
เจ้าเหลืองก็เอาสี่ตัวที่ถูกแช่แข็งมาเตะ พวกที่ถูกแช่แข็งยังมีชีวิตรอด เหลืออยู่อีกสองตัว
จากการโดยโจมตีอย่างต่อเนื่อง
และเนื่องจากการอดทนต่อการโจมตีหลายๆครั้ง
ค่าพละกำลังและพลังชีวิตก็เพิ่มขึ้น 1
แต้ม
มีการเพิ่มค่าสถานะ
ค่าพลังชีวิตของวีดเพิ่มขึ้น 5%! เพื่อที่จะเพิ่มค่าสถานะนี้คุณต้องเสี่ยงชีวิตของคุณ
พวกเดทไนท์ เจ้าเหลือง
และโกลมินิกำจัดศัตรูที่เหลือรอดอยู่ไปได้ 8 ตัว
ค่าพลังชีวิตของวีดตอนนี้คือ 5% และมานาอีก 8% เขาโดนโจมตีทั่วทั้งตัว
เป็นเพราะว่าเขตลาส
ฟาลังคซ์นี้ร้อนมากเกินไป ขีดจำกัดของทักษะแช่แข็งที่แช่พวกมันจึงปลดออกเร็วมาก
หลังจากนั้นอัตราค่าสมาธิและการฟื้นฟูก็กลับมาเป็นปกติ
ในตอนแรกก็ยากลำบากมากที่จะต่อสู้ แต่ก็ถือว่าเป็นความยากที่น่าพึงพอใจ
ด้วยรอยยิ้มที่ชุ่มเหงื่อ วีดก็เริ่มจัดการร่ายเวทย์บางอย่างอีกครั้ง
“ขอโปรดให้เจ้าจงอยู่และเยือนกลับสู่ดินแดนแห่งนี้
กลับสู่ดินแดนที่มืดมนและแตกสลาย อย่าได้เลือนหายไป
บทบัญญัติแห่งความมืดจักสลักบทตัวของพวกเจ้า ปลุกชีพอันเดด!(Undead rise!)”
จากบนพื้นดินมีเหล่าไทร์เบธอันเดดลุกขึ้นมาและทะยานบินขึ้น
ปีกทั้งคู่มีแตกหักบ้างแถมคอของพวกมันก็มีมุมหักแปลกๆแต่พวกไทร์เบธนั้นก็ลุกขึ้นมาได้
พวกมันมีค่าพลังชีวิตครึ่งนึงจากค่าปกติและพลังโจมตีและพลังป้องกันเป็น 1ใน3 จากค่าดั้งเดิม วีดพุ่งเข้าไปต่อสู้พรอมกับเดทไนท์ด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าและเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นอันเดดไปด้วย
บทสรุปของการต่อสู้เขาได้ไทร์เบธ 25 ตัวมา
เขาได้สร้างแนวรบทางอากาศมาสามแนวจากพวกไทร์อันเดดพวกนั้น
“องค์ชายผู้ปกครองแผ่นดินอันยิ่งใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด
ข้าจักมอบเลือดและเนื้อให้ท่าน
เช่นนั้นนี้จักไม่มีความตายมาพรากไปได้หากปราศจากถ้อยคำอนุญาตของข้า
พวกเจ้าจงเชื่อฟังข้า บ่าวแห่งภูติผี! (Soul submission)”
ค่าพลังชีวิตของเหล่าอันเดดสูงสุด
เพิ่มขึ้น 15%
พวกมันก็จะคล่องแคล่วว่องไวมากขึ้นเล็กน้อยในตอนนี้และจะเชื่อฟังคำสั่งอย่างเคร่งครัด
การใช้เวทย์คำสาปใส่พวกกันเดดนั้นจะเป็นการบัฟเพื่อสาปแช่งให้เป็นทาส
แล้วตอนนี้การต่อสู้ที่แท้จริงของเนโครแมนเซอร์ได้เริ่มขึ้นแล้ว
จากนั้นวีดและเดทไนท์ก็กลับไปบริเวณที่พวกไทร์เบธกระโจนเข้าใส่พวกเขาในครั้งแรกจากเงามืด
แล้วก็ถูกพวกมันอีก 15 ตัวโจมตีใส่อีก
แต่ว่าครั้งนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไปแล้ว
“จงสู้! ศัตรูอยู่ข้างบนนั้น!”
แล้วีดก็กลับเข้าไปหมกมุ่นอยู่กับการต่อสู้
ขณะที่มองดูการต่อสู้ที่เขาปล่อยคำสาปกับเวทย์โจมตีต่างๆหลั่งไหลออกมาเรื่อยๆ
คาถาอัญเชิญอันเดดก็จะถูกร่ายขึ้นเมื่อใดก็ตามที่พวกมันตายไป
สถานการณ์ค่อยๆพลิกกลับไปแล้ว ส่วนเดทไนท์ก็ปล่อยให้ต่อสู้อย่างอิสระมากขึ้น
เขาสับพวกไทร์เบธให้เป็นชิ้นๆด้วยการใช้พลังทำลายล้างจากทักษะดาบที่แข็งแกร่ง
โกลมินิสามารถสนับสนุนจากบนพื้นได้อย่างดีเยี่ยมด้วยการยิงธนูออกไป
พวกไทร์เบธอันเดดทั้ง 25
ตัวก็ล้มลงไปครั้งสองครั้งบ้างในการต่อสู้
แต่พวกมันก็เหลือซากศพเอาไว้และสามารถปลุกชีพกลับมาได้อีกครั้ง
การฟื้นฟูที่ไร้ขีดจำกัดกับสินค้าที่นำกลับมาทำใหม่ได้อีก! นี่ดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในอาชีพที่ยอดเยี่ยมที่สุดจริงๆ
จากนั้นวีดก็ต่อสู้กับพวกมันอีกห้าฝูง และสามารถสร้างไทร์เบธอันเดดเพิ่มอีก 89 ตัว การออกล่าแบบอ้อมๆอย่างนี้ให้ค่าประสบการณ์ที่น้อยกว่ามากแต่ว่าความเร็วในการล่านั้นกลับแตกต่างกันเลย
การขับเคลื่อนทั้งสองกลุ่มไปเขาสามารถแยกกลุ่มออกไปเป็นการใช้รูปแบบการล่าและการติดตามไปพร้อมๆกัน
“ข้าจักอุทิศเจ้าเพื่อความรุ่งโรจน์ของพวกเรา
ก่อดาบของพวกเจ้าด้วยความมืดทมิฬ”
หลังจากที่เขารวบรวมซากศพมาได้บ้างก็เริ่มอัญเชิญจอมเวทย์โครงกระดูกขึ้นมาพร้อมกับเหล่าอัศวินโครงกระดูกขึ้นมาด้วยเล็กน้อย
ตอนนี้คุณก็คงพูดได้แล้วว่าเขานั้นได้นำกองกำลังอันเดดแล้ว
“เหลือเวลาไม่มากมาอัญเชิญพวกผีดิบซอมบี้ด้วยแล้วกัน”
หลังจากการต่อสู้มาแบบต่อเนื่องเขาสามารถรวบรวมศพของไทร์เบธมาได้มาก
แล้วก็เอาพวกมันมาเผาด้วยกันหลังจากที่ฝนตกลงมาเล็กน้อย ก็จะกลายเป็นผีดิบซอมบี้ที่อย่างกับชีสที่เดินเอื่อยๆช้าๆ
แต่ว่าพวกมันก็มีพิษกรดและพลังป้องก็สูงด้วยเหมือนกัน (สรุปอัญเชิญซอมบี้มาละหรอ)
การรู้จักใช้อันเดทให้ถูกวิธีนั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก
ศพของพวกมันไม่เสื่อมสลายเลยเพราะว่าพวกมันสร้างมาจากศพไทร์เบธที่ดูดีที่สุดพร้อมกับประสิทธิภาพที่สูงที่สุด
ภายในหนึ่งคืนของการออกล่าอย่างต่อเนื่องวีดก็ได้เพิ่มกองกำลังอันเดดของเขาได้อย่างมากมายมหาศาล
ตอนนี้เขามี ไทร์เบธ 89 ตัว จอมเวทย์โครงกระดูก 55 ตน อัศวินโครงกระดูก 20
ตน ผีดิบซอมบี้ไหม้เกรียม 40 ตน และม้าอีก 5
ตัว มันต้องใช้ความพยายามทำงานมากเอาการเพื่อที่จะรวบรวมอันเดดนี้มาทั้งหมดได้
แต่ว่าพวกอัศวินโครงกระดูก จอมเวทย์โครงกระดูก
กับซอมบี้นั้นค่อนข้างง่ายกว่าพวกอื่นๆเพราะว่าพวกมันมีคุณภาพต่ำ
ผลจากแหวนทำให้ความเร็วในการฟื้นฟูมานาเพิ่มขึ้น
+10%
พลังการกักเก็บมานาเพิ่มขึ้น 55% อัตราการฟื้นฟูเพิ่มขึ้น
20% มาจากสร้อยข้อมือที่สวมใส่อยู่นั่นคือสมบัติของราชอาณาจักรนิฟล์เฮม
ทุกอย่างที่เขาสวมใส่อยู่ได้บัฟค่าคริติคอลเพิ่มขึ้นด้วย
ส่วนพรจากเทพีแห่งผืนพิภพก็บัฟเพิ่มขึ้นอีก 40% ให้กับระดับมานาของเขา
นี่ก็ถือว่าทรงพลังมากพอแล้วที่จะคุมกองทัพอันเดดพวกนี้เอาไว้ได้
ภายในวันแรกที่เขาออกล่าเขาก็ได้รับค่าประสบการณ์ไป
27%
และวันถัดมาก็ได้อีก 29% ทักษะอัญเชิญอันเดดกับทักษะก่อกำเนิดโครงกระดูกก็แสดงผลได้อย่างยอดเยี่ยมแถมยังปรับตัวกับการต่อสู้ได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย
แต่ว่าเจ้าวิหคทองคำที่แยกตัวออกไปก็บินวนไปมารอบๆจากข้างบน
สิ่งเดียวที่สามารถเห็นได้ก็คือกองกำลังที่กำลังเคลื่อนทัพของวีด
ผู้แปล:
Cole’s Myth
Editor: แอดชิน เพจ
เราอ่านนิยายแปล